กฟผ.หนุนพลังงานทดแทนขับเคลื่อนแผน AEDP
2015
นายกรศิษฏ์ ภัคโชตานนท์ ผู้ว่าการ
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยถึงบทบาทของ กฟผ.
ในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579
(AEDP 2015) ว่า แผน AEDP 2015
ตั้งเป้าให้ไทยมีกำลังผลิตจากพลังงานทดแทนประมาณ 19,000
เมกะวัตต์ ดังนั้น กฟผ.
ซึ่งมีหน้าที่รักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศ
จึงต้องดูแลให้การเพิ่มเข้าสู่ระบบของพลังงานทดแทนในปริมาณมากเช่นนี้เป็นไปอย่างราบรื่น
โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของพลังงานทดแทนในขณะที่เทคโนโลยีการผลิตยังไม่เสถียร
ทำให้จำเป็นต้องมีการเตรียมการรองรับที่ดี
ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวต่อไปว่า
นอกจากจะมีการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียนในปริมาณมากและยังไม่มีความเสถียรแล้ว
ปัจจุบันยังมีผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่ผลิตไฟฟ้าใช้เอง
แต่ยังคงพึ่งพาไฟฟ้าจากระบบไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งลักษณะนี้เริ่มมีมากขึ้น
ทำให้ระบบไฟฟ้าต้องเตรียมกำลังผลิตเพื่อสำรองไฟฟ้าเผื่อไว้ให้ตลอด 24
ชั่วโมง อันจะมีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าโดยรวม
นอกจากนั้น ระบบไฟฟ้าของประเทศไทยเป็นระบบสะท้อนต้นทุนจริงที่เกิดขึ้นทั้งระบบและเป็นระบบประกันการลงทุน
จึงมีการจ่ายค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment: AP) เสมือนการจ่ายค่าเช่าเครื่องตลอดอายุโรงไฟฟ้าประมาณ
25 ปี ซึ่งเป็นการเฉลี่ยมูลค่าการลงทุนไป 25 ปี
ที่ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องจ่ายค่าลงทุนในอนาคตร่วมกันด้วย
การมีผู้เดินออกจากระบบไปผลิตไฟฟ้าใช้เอง
จึงเท่ากับทิ้งภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบในอนาคตไว้ให้กับคนที่ยังอยู่ในระบบอย่างไม่เป็นธรรม
ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรปเช่นกัน ทั้งนี้
ระบบดังกล่าวต่างจากหลายประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ที่ใช้ระบบตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Power Pool) เป็นการแข่งขันด้านราคาที่ประชาชนมีสิทธิเลือกซื้อ
เมื่อพลังงานทดแทนที่ได้รับการอุดหนุนเข้ามาในระบบ
จะทำให้โรงไฟฟ้าในระบบเดิมต้องลดการผลิต มีผลให้ต้นทุนต่อหน่วยผลิตสูงขึ้น
ผู้ประกอบการก็จะขึ้นราคาเพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้ ทำให้ปัจจุบันค่าไฟฟ้าในระบบ Power
Pool สูงมากถึง 5 ? 13
บาท และบางประเทศมีการจัดเก็บภาษีเพิ่มกับผู้ที่ออกจากระบบไปผลิตไฟฟ้าใช้เอง
ในส่วนของ กฟผ.
ที่เป็นกลไกหนึ่งของภาครัฐที่ใช้ในการขับเคลื่อนประเทศผ่านการให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐาน
และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนแผน AEDP 2015
โดยได้รับการจัดสรรให้เป็นกำลังผลิตของรัฐ ไม่ต้องแข่งขันกับเอกชน
เพื่อดูแลความมั่นคงและถ่วงดุลด้านราคาค่าไฟฟ้า
ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับแผนพลังงานทดแทนขององค์กรและจัดทำรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ
ให้ชัดเจน ก่อนนำเสนอต่อกระทรวงพลังงานเพื่อพิจารณาขอเพิ่มสัดส่วนที่ กฟผ.
รับผิดชอบในแผน AEDP 2015 จากเดิม 500
เมกะวัตต์ เป็น 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งคิดเป็นเพียงประมาณ 10%
ของแผน AEDP 2015 เท่านั้น และเป็นสัดส่วนที่ กฟผ.
ศึกษาแล้วว่ามีศักยภาพสามารถดำเนินการได้ ที่สำคัญแต่ละโครงการของ กฟผ.
ที่ได้รับการพิจารณาอนุมัติจากรัฐบาล
จะได้รับอัตราค่าไฟฟ้าถูกกว่าหรือเท่ากับราคาที่ประกาศรับซื้อจากภาคเอกชน
นอกจากนี้ ยังจะใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น ใช้โซลาร์เซลล์แบบลอยน้ำ
ที่ช่วยลดอุณหภูมิของแผง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อีกร้อยละ 10 ใช้พลังงานหมุนเวียนแบบผสมผสาน (Hybrid)
ที่ช่วยให้เกิดความเสถียรมากขึ้น รวมทั้งนำระบบกักเก็บพลังงาน (Energy
Storage) เข้ามาช่วยเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า
แต่เดิมโรงไฟฟ้าฟอสซิลเป็นโรงไฟฟ้าที่ช่วยรองรับความไม่เสถียรของพลังงานทดแทน
แต่เมื่อมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เข้ามามากขึ้น
จะเกิดปัญหาระบบขาดพลังงานไฟฟ้าอย่างทันทีในช่วงแสงอาทิตย์หมด กล่าวคือ
ทำให้กราฟการใช้ไฟฟ้ารายวันเปลี่ยนจากรูปหลังอูฐเป็นรูปหลังเป็ด (Duck
Curve)* จำนวนโรงไฟฟ้าฟอสซิลที่มีอยู่อาจมีสมรรถนะไม่พอที่จะรองรับความไม่เสถียรช่วงนี้ได้
จึงจำเป็นที่จะต้องติดตั้ง Battery Storage ช่วยเสริมระบบ
"ที่กล่าวมาเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้
กฟผ. เสนอปรับแผน PDP ใหม่
เพื่อให้สามารถรองรับการพัฒนาพลังงานทดแทนเข้ามาในระบบให้ได้มากขึ้น
โดยไม่เกิดปัญหาความไม่เสถียรของระบบ และ กฟผ. พร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการพัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับการมีพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น
โดยในส่วนการพัฒนาพลังงานทดแทนของ กฟผ. ได้มุ่งให้เกิดเสถียรภาพ ประสิทธิภาพ
รองรับนโยบายพลังงาน 4.0 และสอดคล้องกับทิศทางพลังงานโลกในอนาคต"
ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าว
สำหรับการดำเนินงานเพื่อรองรับ Energy
4.0 นายสหรัฐ บุญโพธิภักดี รองผู้ว่าการประจำสำนักผู้ว่าการ กฟผ.
กล่าวว่า กฟผ. มุ่งมั่นพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างเป็นรูปธรรม
ขณะนี้มีโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่กำหนดแล้วเสร็จระหว่างปี 2561 ? 2564
เช่น โครงการเซลล์แสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำในพื้นที่อ่างเก็บน้ำ กฟผ.
ที่โรงไฟฟ้าวังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โรงไฟฟ้ากระบี่ จ.กระบี่
อ่างเก็บน้ำห้วยเป็ด และอ่างเก็บน้ำห้วยทราย โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง
รวมถึงมีโครงการเซลล์แสงอาทิตย์บนดินในพื้นที่ กฟผ. ที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงจอมบึง
จ.ราชบุรี สถานีไฟฟ้าแรงสูงมุกดาหาร 2 จ.มุกดาหาร และเหมืองแม่เมาะ จ.ลำปาง
นายสหรัฐ บุญโพธิภักดี กล่าวต่อไปว่า
โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลของ กฟผ. ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมของโครงการต้นแบบ
ให้ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ควบคู่กับการพัฒนาความร่วมมือด้านการทดลองปลูกพืชพลังงานและจัดหาเชื้อเพลิงชีวมวลเพื่อป้อนโรงไฟฟ้า
โดยให้ท้องถิ่นได้รับผลประโยชน์ที่เป็นธรรม กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ที่มีโรงไฟฟ้า
ทั้งนี้คาดว่าโรงไฟฟ้าชีวมวลต้นแบบของ กฟผ. จะสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ในปี 2563
ด้าน นายพฤหัส วงศ์ธเนศ
รองผู้ว่าการนโยบายและแผน กฟผ. กล่าวว่า
ในอนาคตระบบกักเก็บพลังงานจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้พลังงานทดแทนมีเสถียรภาพ
โดยมีหลักการสำคัญที่ กฟผ. ใช้พิจารณานำระบบกักเก็บพลังงานมาใช้ คือ
สามารถกักเก็บพลังงานได้ปริมาณมากและจ่ายไฟฟ้าในช่วงที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง
ควบคุมการจ่ายไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้มีเสถียรภาพ และมีอายุการใช้งานยาวนาน
นอกจากนี้ กฟผ.
ยังมีแผนการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ในระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. ในอนาคต
เพื่อควบคุมความผันผวน
ของความถี่และแรงดันในระบบส่งจากการนำพลังงานทดแทนเข้าสู่ระบบ
รวมถึงช่วยลดความสูญเสียในระบบส่งไฟฟ้า