บีซีพีจีเผยไตรมาส2กำไรเพิ่มร้อยละ 98
นายบัณฑิต
สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
นับว่าอยู่ในเกณฑ์ดี
ทุกโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นสามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้ตามแผนเต็มไตรมาส โดยธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น
มีผลประกอบการดีมากเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
เป็นผลจากโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นและจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการผลิตไฟฟ้า
ทำให้บริษัทฯ มีรายได้ประมาณ 171 ล้านบาทจาก 6 โครงการ (กำลังการผลิตตามสัญญารวม
30 เมกะวัตต์) ในขณะที่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2559 มีรายได้ประมาณ 43 ล้านบาทจาก 4
โครงการ (กำลังการผลิตตามสัญญารวม 10.7 เมกะวัตต์) นอกจากนี้ บริษัทฯ
ยังมีรายได้จากการปรับปรุงทางบัญชีจากการชำระค่าตอบแทนที่เหลือสำหรับการเข้าซื้อธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นจำนวนประมาณ
140 ล้านบาท และรับรู้กำไรจากการลงทุนธุรกิจพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์ประมาณ 43
ล้านบาทอีกด้วย
หากพิจารณากำไรสุทธิก่อนผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของกลุ่มบริษัทฯ
ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ คิดเป็นเงินประมาณ 577 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ประมาณร้อยละ 98
ซึ่งสะท้อนถึงผลการดำเนินการจริงที่ดีขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม
จากการเกิดการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
(ซึ่งเป็นผลกระทบต่อตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น)
ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้คิดเป็นเงินประมาณ 462 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 1.7 ทั้งนี้ บริษัทฯ
มีการบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและศึกษาความเป็นไปในการใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ
เพื่อให้ผลกระทบต่อกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
บีซีพีจีทำงานเชิงรุก
ขยายธุรกิจอย่างก้าวกระโดด เพื่อย้ำความเป็นผู้นำในการประกอบธุรกิจพลังงานสะอาดแบบ
pure play ที่มีการใช้เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหลากหลายรูปแบบ
โดยธุรกิจล่าสุดที่ร่วมลงทุนคือธุรกิจพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียที่เพิ่งจะลงนามในสัญญาผู้ถือหุ้นและรับโอนหุ้นมาเมื่อเร็วๆ
นี้ ทำให้ในวันนี้ บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวมประมาณ 600 เมกะวัตต์
หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ
ยังคงให้ความสำคัญในการทำธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาลเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
และพร้อมปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น
โดยกำลังอยู่ระหว่างการวางแผนธุรกิจรูปแบบใหม่เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการธุรกิจพลังงานหมุนเวียนที่ใกล้ชิดผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
จากการที่เทคโนโลยีใหม่ๆ ในยุคดิจิตอล (disruptive technology) จะพลิกโฉมธุรกิจพลังงาน
ทำให้เกิดการขายไฟฟ้าผ่านอินเตอร์เน็ต (internet of energy) ในอนาคตอันใกล้นี้
"สำหรับการดำเนินงานในครึ่งหลังของปีนี้
จะมีปัจจัยบวกซึ่งจะช่วยทำให้ผลประกอบการดีขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์และโครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ด้วยการจัดหาเงินกู้ที่ในสกุลเงินที่เหมาะสมกับการดำเนินงานในประเทศนั้นๆ
เพื่อลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน" นายบัณฑิตกล่าว