ไฟฟ้าภาคใต้มั่นคงจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าหลักในพื้นที่
นายสหรัฐ บุญโพธิภักดี
รองผู้ว่าการพลังงานหมุนเวียนและพลังงานใหม่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ในฐานะโฆษก กฟผ. เปิดเผยเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าหลักในพื้นที่ภาคใต้ว่า
ภาคใตัมีกำลังผลิตสำรองต่ำกว่ามาตรฐานความมั่นคงของระบบไฟฟ้า
ทำให้จำเป็นต้องเพิ่มกำลังผลิตแบบเสถียรจากโรงไฟฟ้าหลักเพื่อดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาพรวม
ส่วนพลังงานหมุนเวียนมีส่วนช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
แต่ยังคงมีปัญหาเรื่องความไม่มั่นคง เช่น พลังงานแสงอาทิตย์
มีข้อจำกัดไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในช่วงกลางคืน พลังงานชีวมวล
สามารถผลิตไฟฟ้าได้เฉพาะบางฤดูกาลเท่านั้น
ขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิตทางการเกษตรและราคาของผลผลิตเป็นหลัก จึงต้องมีกำลังผลิตสำรองจากโรงไฟฟ้าพลังงานหลักเสริมการจ่ายไฟฟ้า
(Backup) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
และการจะทำให้พลังงานหมุนเวียนมีความมั่นคง สามารถจ่ายไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง
ควบคุมและสั่งการได้เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้าหลักนั้น จำเป็นจะต้องมีการลงทุน
ติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมด้วยวิธีการต่าง ๆ
ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าหลัก ภายใต้เทคโนโลยีปัจจุบัน
จึงยังไม่สามารถใช้ทดแทนพลังงานหลักได้
"การเลือกใช้พลังงานหมุนเวียนแต่ละประเภทต้องสอดคล้องกับลักษณะการใช้ไฟฟ้าด้วย
เช่น ภาคใต้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีความต้องการไฟฟ้าสูงในช่วงกลางคืน
การส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ปริมาณมาก ๆ
ช่วยเสริมกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ในช่วงกลางวัน
โรงไฟฟ้าพลังงานหลักที่ผลิตได้กลางวันและกลางคืน 24
ชั่วโมงจึงยังจำเป็นควบคู่กันในสัดส่วนที่เหมาะสม
ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในปัจจุบัน เพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง
ระบบไฟฟ้ามั่นคง ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอยู่ในระดับที่แข่งขันได้
โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน"
โฆษก กฟผ. กล่าว
สำหรับนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในภาคใต้นั้น
กระทรวงพลังงานและ กฟผ. มีการส่งเสริม
สนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในภาคใต้มาตลอด
โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีการเปิดรับซื้อแล้วมากกว่า 730 เมกะวัตต์
และล่าสุดมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในภาคใต้อีก 100 เมกะวัตต์
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กระทรวงพลังงานมีนโยบายในการจัดหาไฟฟ้าทั้งจากโรงไฟฟ้าหลักและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
ต่อประเด็นการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าเทพา
จ.สงขลานั้น โฆษก กฟผ. กล่าวต่อไปว่า
ได้มีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) แบ่งเป็น
2 รายงาน คือ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา และโครงการท่าเทียบเรือเทพา
ตามข้อกำหนดของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
ที่ต้องแยกการพิจารณาตามคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
(คชก.) เป็น 2 คณะ ประกอบด้วย คชก. ด้านโรงไฟฟ้าพลังความร้อน
พิจารณาโครงการโรงไฟฟ้าเทพา และ คชก. ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางน้ำ
พิจารณาโครงการท่าเทียบเรือเทพา
ส่วนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
กฟผ. ได้ดำเนินการตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ประกอบด้วยการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย จำนวน 3 ครั้ง
ได้แก่
โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา
ครั้งที่ 1
เพื่อกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จัดเมื่อวันที่ 2
พฤศจิกายน 2557 มีผู้เข้าร่วม 3,860 คน
ครั้งที่ 2
เพื่อรับฟังความคิดเห็นในขั้นตอนการประเมินและจัดทำร่างรายงาน EHIA เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์
? มีนาคม 2558 มีผู้เข้าร่วมประชุมกลุ่มย่อย 708
คน และมีการสำรวจความคิดเห็นของหน่วยงานราชการ ผู้นำชุมชน ครัวเรือน ด้วยแบบสอบถาม
จำนวน 1,461 ตัวอย่าง
ครั้งที่ 3 เพื่อทบทวนร่างรายงาน EHIA
เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 มีผู้เข้าร่วมจำนวน 6,498 คน
โครงการท่าเทียบเรือเทพา
ครั้งที่ 1
เพื่อกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จัดเมื่อวันที่ 2
พฤศจิกายน 2557 มีผู้เข้าร่วม 3,805 คน
ครั้งที่ 2
เพื่อรับฟังความคิดเห็นในขั้นตอนการประเมินและจัดทำร่างรายงาน EHIA เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์
? มีนาคม 2558 มีผู้เข้าร่วมประชุมกลุ่มย่อย 708
คน และมีการสำรวจความคิดเห็นของหน่วยงานราชการ ผู้นำชุมชน ครัวเรือน ด้วยแบบสอบถาม
จำนวน 1,433 ตัวอย่าง
ครั้งที่ 3 เพื่อทบทวนร่างรายงาน EHIA
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 มีผู้เข้าร่วมจำนวน 6,121 คน
นอกจากนี้ กฟผ.
ยังได้ชี้แจงสร้างความเข้าใจแก่ชุมชนอย่างต่อเนื่องอย่างกว้างขวาง
ไม่จำกัดเฉพาะรัศมี 5 กิโลเมตร จากที่ตั้งโรงไฟฟ้า ตามที่ สผ. กำหนด
ทั้งนี้ กฟผ.
ได้ใช้เวลาในการศึกษาและจัดทำรายงาน EHIA โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ประมาณ 1
ปี จากนั้น คชก. ได้ใช้เวลาในการพิจารณารายงาน EHIA อย่างรอบคอบอีกถึง
1 ปี 10 เดือน รวมเป็นเวลาเกือบ 3 ปี คชก.
จึงได้พิจารณาเห็นว่าข้อมูลในรายงานฉบับดังกล่าวมีความครบถ้วน
ซึ่งจากนี้จะได้มีการนำรายงานฉบับสมบูรณ์เสนอต่อ สผ. อีกครั้ง
ก่อนจะนำเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) เพื่อประกอบการพิจารณาของ
ครม. ตามขั้นตอนต่อไป