กบง.เรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพิ่ม50-70สตางค์ต่อลิตร
วันนี้ (15 พฤศจิกายน 2561) ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
(กบง.) ซึ่งมี ดร. ศิริ จิระพงษ์พันธ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานฯ ได้พิจารณาเรื่องการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน จากการที่ราคาน้ำมันดิบลดลงอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2561 ที่ระดับราคา 84 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จนถึงปัจจุบัน
66 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 18 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
โดยลดลงอย่างมากตั้งแต่วัน อังคารที่ผ่านมาประมาณ 5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้กำกับทั้งอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ
และค่าการตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95
E10 ลดลง 2.80 บาทต่อลิตร โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 28.85
บาทต่อลิตรและราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.60 บาทต่อลิตร
โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 29.29 บาทต่อลิตร
และในขณะเดียวกันได้บริหารจัดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ
ซึ่งได้มีการใช้ไปแล้วเมื่อตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน
30 บาทต่อลิตร และก๊าซ LPG ถังละ 363 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม
ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ไป 11,000 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี จากเดิมที่มี
34,500 ล้านบาท คงเหลือ ปัจจุบัน 23,500 ล้านบาท
ดังนั้น กบง.
จึงได้มีมติวางเป้าหมายการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯเพิ่มขึ้น เพื่อเสริมสภาพเงินกองทุน
น้ำมันฯ ชดเชยที่ใช้ไปให้เข้มแข็ง
เพื่อรองรับความผันผวนของตลาดน้ำมันที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต โดย กบง. มีมติ
ให้ปรับเพิ่มการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯอีก 0.50 บาทต่อลิตร
โดยจะทำให้อัตราเงินกองทุนน้ำมันเฉลี่ยของกลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์อยู่ที่
1.93 บาทต่อลิตร และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่
0.70 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับประมาณ 100 ล้านบาทต่อวัน
ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 4 เดือนในการสะสมเงินให้ครบ 11,000 ล้านบาท