ครบรอบ 33 ปี รัฐพิธีเปิดเขื่อนวชิราลงกรณ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์
อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนเขาแหลม อย่างเป็นทางการ
ในวันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ.2529
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม "เขื่อนวชิราลงกรณ" ตามพระนามาภิไธยในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร แทน ชื่อ "เขื่อนเขาแหลม" เมื่อวันศุกร์ที่
13 กรกฎาคม พ.ศ. 2544
เขื่อนวชิราลงกรณ เป็นเขื่อนเอนกประสงค์ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งของแผนพัฒนาลุ่มน้ำแม่กลองมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาการเกษตรและอุตสาหกรรมในบริเวณพื้นที่กว้างใหญ่ของลุ่มน้ำแม่กลองแล้วยังอำนวยประโยชน์สำคัญในด้านการผลิตไฟฟ้าและด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เขื่อนวชิราลงกรณ เป็นเขื่อนหินถมแห่งแรกของประเทศไทย
ที่ดาดผิวหน้าด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ตั้งอยู่บนแม่น้ำแควน้อย ในท้องที่ตำบลท่าขนุน
อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี การก่อสร้างเริ่มในเดือน มีนาคม พ.ศ.2522
แล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2527 ความสูงจากฐานเขื่อน 92
เมตร สันเขื่อนกว้าง 10 เมตร เขื่อนมีความยาว 1,019
เมตร ระดับสันเขื่อนสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) +161.75
เมตร ปริมาตรหินถม ตัวเขื่อน 8.1 ล้านลูกบาศก์เมตร
อ่างเก็บน้ำอยู่ในท้องที่อำเภอทองผาภูมิ และอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
มีพื้นที่รับน้ำฝน 3,720 ตารางกิโลเมตร ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเฉลี่ยปีละ
5,500 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีปริมาณน้ำเก็บกักปกติ 8,860
ล้านลูกบาศก์เมตร ที่ระดับ +155.00 เมตร (รทก.) โรงไฟฟ้าเป็นอาคารคอนกรีต
เสริมเหล็กติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขนาดกำลังผลิตเครื่องละ 100,000
กิโลวัตต์ จำนวน 3 เครื่อง รวมกำลังผลิต 300,000
กิโลวัตต์ ให้พลังงานไฟฟ้า เฉลี่ยปีละ 777 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง
เขื่อนวชิราลงกรณ นอกจากสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้า
แล้วยังอำนวยประโยชน์ในด้านอื่นๆ อาทิ ช่วยบรรเทาอุทกภัย ซึ่งโดยปกติน้ำในฤดูฝน
น้ำทั้งลำน้ำแควน้อยและแควใหญ่จะมีปริมาณมาก
เมื่อไหลมารวมกันจะทำให้เกิดน้ำท่วมลุ่มน้ำแม่กลองเป็นประจำ
แต่หลังจากได้ก่อสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ แล้วเสร็จ
อ่างเก็บน้ำของเขื่อนจะช่วยเก็บน้ำไว้
เป็นการบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ดังกล่าวอย่างถาวร
ด้านชลประทานและการเกษตรทำให้มีแหล่งน้ำถาวรเพิ่มอีกแห่งหนึ่งช่วยเสริมระบบการชลประทานในพื้นที่ของโครงการ
แม่กลองใหญ่ พื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี
จังหวัดราชบุรี จังหวัดนครปฐม จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสมุทรสาคร
และ จังหวัดสมุทรสงคราม
โดยเฉพาะทำการเพาะปลูกในฤดูแล้งจะได้ผลผลิตการเกษตรเพิ่มขึ้น ด้านการประมง
อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนเหมาะสำหรับเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาขนาดใหญ่ที่สำคัญ
ทำให้ราษฎร มีรายได้จากการทำประมงรวมแล้วปีละหลายล้านบาท
นอกจากนี้ เขื่อนวชิราลงกรณ มีการระบายน้ำช่วยรักษาระบบนิเวศน์ผลักดันน้ำเค็มและน้ำเสีย ในฤดูแล้ง ก่อนหน้าที่จะมีการก่อสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ ในช่วงฤดูแล้งบริเวณปากน้ำแม่กลองจะมีน้ำเค็มไหลย้อนเข้ามา รวมทั้งยังมีน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมบริเวณสองฝั่งแม่น้ำแม่กลองไหลเข้ามาอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้นการปล่อยน้ำ จากเขื่อนวชิราลงกรณ เพิ่มขึ้นในฤดูแล้ง จะช่วยขับไล่น้ำเสียและผลักดันน้ำเค็มออกไปทำให้สภาพน้ำในแม่น้ำแม่กลองมีคุณภาพดีขึ้น
นายไววิทย์ แสงพานิชย์ ผู้อำนวยการเขื่อนวชิราลงกรณ (อขว.) กล่าวว่า "
ตลอดระยะเวลา 33 ปี เขื่อนวชิราลงกรณ
ได้ทำหน้าที่เพื่อบริหารจัดการน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภครักษาระบบนิเวศน์และเพื่อการชลประทานและการผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรมในพื้นที่ใกล้เคียง
ให้มีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอและตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศช่วยรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้า
เขื่อนวชิราลงกรณ เป็นหน่วยงานที่มีการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล
และเป็นองค์กรที่มีการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล มีการดำเนินงานที่โปร่งใส
อีกทั้งมีความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำที่ดี
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับกลุ่มผู้ใช้น้ำทางด้านเหนือน้ำและท้ายน้ำ นอกจากนี้
เขื่อนวชิราลงกรณ ยังมีการดำเนินงานที่เป็นมิตร กับชุมชนและสิ่งแวดล้อม เช่น
การจัดโครงการส่งเสริมความเข้าใจและความมั่นใจชุมชนรอบเขื่อนในงานวันผลไม้ของดีอำเภอทองผาภูมิและสืบสานประเพณีลานบ้านลานวัฒนธรรม
การส่งเสริมโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนกับชุมชนมีส่วนร่วมกับชุมชนที่เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน
21 พื้นที่
ให้มีกิจกรรมประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และศึกษาดูงาน กฟผ.นอกพื้นที่
เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน รวมทั้งจัดโครงการเสริมสร้างสัมพันธภาพชุมชน
รอบเขื่อน เช่น จัดออกหน่วยชุมชนสัมพันธ์ จัดเลี้ยงอาหารกลางวันนักเรียน
จัดแข่งขันกีฬาต้านยาเสพติด ออกหน่วยแพทย์ตรวจรักษาประชาชน ปีละ 2
ครั้ง และจัดโครงการสร้างฝายชะลอน้ำและปลูกป่าเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของป่าต้นน้ำ
นอกจากนี้ เขื่อนวชิราลงกรณ ส่งเสริมกิจกรรมทางศาสนา เช่น การถวายเทียนจำนำพรรษา
การทอดกฐินสามัคคีและทอดผ้าป่า ร่วมงานประเพณีของท้องถิ่น
สนับสนุนงานวันเด็กแห่งชาติ สนับสนุนการจัดกิจกรรมของหน่วยงานราชการและชุมชนและอีกทั้ง
เขื่อนวชิราลงกรณ นำระบบมาตรฐานสากลมาใช้งาน เพื่อพัฒนาหน่วยงาน
ให้เป็นองค์การที่สังคมชุมชนและสิ่งแวดล้อมยอมรับ เช่น การได้รับใบรับรองระบบ ISO9001:2008
(การผลิตไฟฟ้า) ใบรับรองระบบ ISO14001:2004 (การจัดการสิ่งแวดล้อม)
ใบรับรองระบบ ISO18001:2011 OHSAS18001:2007 (การบริหารงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย)
ใบรับรองระบบ ISO50001:2011 (การจัดการพลังงาน)
ได้รับรางวัลสถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่นด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ระดับประเทศ ประจำปี 2561
เป็นปีที่ 18 ติดต่อกัน (2544-2561) และมีการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมตามเกณฑ์มาตรฐาน
ISO26000 ประจำปี 2559-2561
เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนในองค์กรให้ความร่วมมือร่วมใจดำเนินงานอย่างเป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อมในทุกด้านของการประกอบกิจการจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร"
เขื่อนวชิราลงกรณ
ได้เอื้อและอำนวยประโยชน์อย่างมากมายต่อประเทศชาติ ควบคู่ไปกับการดำเนินงาน
ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
อีกทั้งสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้า จำนวน 26,346 ล้านหน่วย
ทำให้ช่วยประหยัดเงินตราในการซื้อเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ เป็นเงิน 69,555 ล้านบาท
และเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่มั่นคงของประเทศ
รวมทั้งเป็นกำลังสำคัญในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติ
ให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป
ขอบคุณที่มา : การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย