พลังงานดีเดย์2ก.พ.นี้ปรับโครงสร้างราคาต้นทุนแอลพีจี
การปรับโครงสร้างราคาก๊าซออกมาเป็นที่เรียบร้อย โดยนายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.)ว่า ที่ประชุม กบง.มีมติให้ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) ทุกประเภทไว้ในอัตราปัจจุบัน 24.16 บาทต่อกิโลกรัม จนถึงสิ้นเดือนก.พ. 2558 จากนั้น จากนั้นจะมีการประกาศราคาแอลพีจีเป็นรายเดือน ซึ่งจะเป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น
ทั้งนี้การปรับราคาแอลพีจีใหม่ในอนาคตนั้น เกิดจากกระทรวงพลังงานปรับโครงสร้างต้นทุนราคาแอลพีจีที่ต้นทาง คือ ที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติ และโรงกลั่นใหม่ โดยให้ยกเลิกการตรึงราคาขายที่ 333 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน หรือ 10.94 บาทต่อกิโลกรัม มาเป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนมากขึ้นที่ 448 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน หรือ 16.11 บาทต่อกิโลกรัมแทน โดยจะเริ่มใช้สูตรราคาต้นทุนดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ. 2558 แต่งวดเดือนแรก (2ก.พ.-2 มี.ค. 2558) กระทรวงพลังงานยังคงกำหนดให้ราคาขายปลีกในประเทศไว้เท่าเดิมที่ 24.16 บาทต่อกิโลกรัมไปก่อน จากนั้นในเดือนถัดไปจะปรับราคาขึ้นลงตามโครงสร้างราคาใหม่ต่อไป
อย่างไรก็ตามผลจากการปรับสูตรราคาใหม่นี้ จะส่งผลให้ราคาแอลพีจีทุกภาคทั้งครัวเรือน ขนส่งและอุตสาหกรรม เป็นราคาเดียวกันทั้งหมดและปรับราคาขึ้นลงไปพร้อมๆกัน รวมทั้งภาคปิโตรเคมีจะต้องซื้อแอลพีจีในราคาเดียวกับครัวเรือน ขนส่งและอุตสาหกรรมด้วย
นอกจากนี้อัตราการจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับผู้ใช้แอลพีจีจะเป็นอัตราเดียวกันทั้งหมดประมาณ 82 สตางค์ต่อกิโลกรัม ซึ่งในจุดนี้ระยะสั้นจะส่งผลดีต่อภาคปิโตรเคมี เนื่องจากปัจจุบันปิโตรเคมีจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯมากกว่าที่ 1 บาทต่อกิโลกรัม แต่ระยะยาวภาคปิโตรเคมีจะต้องซื้อแอลพีจีในราคาเดียวกับผู้ใช้แอลพีจีทั่วๆไป โดยไม่มีแต้มต่ออีกต่อไป
ขณะเดียวกันกระทรวงพลังงานจะดำเนินการแยกบัญชีกองทุนน้ำมันฯ โดยแยกเป็น 2 บัญชี คือ 1.สำหรับน้ำมัน และ2.สำหรับแอลพีจี เป็นการเฉพาะ เพื่อไม่ให้เกิดการใช้เงินอุดหนุนน้ำมันหรือก๊าซข้ามประเภทอีก
"ในอนาคตจะมีการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งแน่นอน แต่ขณะนี้จะทยอยทำไปทีละขั้นตอน แต่ในส่วนของผู้มีรายได้น้อยนั้น ภาครัฐกำหนดให้ขายในราคาถูกที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัมต่อไป โดยให้บริษัท ปตท. เป็นผู้แบกรับภาระเองทั้งหมด"นายณรงค์ชัย กล่าว
นายณรงค์ชัย กล่าวด้วยว่า ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี)นั้น จะปรับขึ้นราคาอย่างแน่นอน แต่ไม่เกิน 16 บาทต่อกิโลกรัม จากปัจจุบันตรึงราคาไว้ที่ 12.50 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เช่น รถโดยสารสาธารณะ รถแท็กซี่ ที่ปัจจุบันได้รับการช่วยเหลือให้ซื้อในราคาถูกแค่ 9.50 บาทต่อกิโลกรัมนั้น ในอนาคตหากปรับราคาใหม่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยดังกล่าวจะต้องซื้อเอ็นจีวีในราคาที่ปรับขึ้นเท่ากับผู้ใช้เอ็นจีวีรายอื่นด้วย ไม่มีการยกเว้น
นอกจากนี้ในส่วนของน้ำมันนั้น กบง.ยังมีมติให้เรียกเก็บเงินเฉพาะผู้ใช้ดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้น 60 สตางค์ต่อลิตร แต่จะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาดีเซลหน้าปั๊ม ส่วนน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดจะไม่เรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯเพิ่ม ทำให้ราคาหน้าปั๊มลง 60 สตางค์ต่อลิตร เว้นแก๊สโซฮอล์อี 20 ปรับลดลง 40 สตางค์ต่อลิตร และแก๊สโซฮอล์อี 85 ลดลง 20 สตางค์ต่อลิตร
สำหรับการเรียกเก็บเงินดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันฯเพิ่มดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนนน้ำมันฯมีเงินไหลเข้าเพิ่มขึ้น 948 ล้านบาทต่อเดือน โดยปัจจุบันมีเงินสุทธิ 17,622 ล้านบาท
.....................