กลุ่มบริษัท Zukunft Erdgas กล่าวไว้ในงาน
E-World of Energy Trade Fair ระบุว่า
ความต้องการใช้ก๊าซในเยอรมนีอาจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8 ภายในปี 2565
เพื่อทดแทนการทยอยปิดตัวของโรงไฟฟ้าถ่านหิน
โดยอาจผลักดันให้ก๊าซกลายเป็นเสาหลักต้นที่ 2 ของระบบไฟฟ้า
จากเดิมที่ก๊าซครองภาคการผลิตไฟฟ้าเพียงร้อยละ 12.8
ต่างจากพลังงานหมุนเวียนที่ครองสัดส่วนถึงร้อยละ 40 และถ่านหินที่ร้อยละ 35.5 โดยในส่วนการผลิตของถ่านหิน
คิดเป็น 649 เทระวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2561
แหล่งที่มาภาพ : https://www.cleanenergywire.org
นาย Timm Kehler ประธานบริษัท Zukunft Erdgas กล่าวว่า
กำลังการผลิตของถ่านหินจะลดลงถึงครึ่งหนึ่ง ภายในปี 2573
และเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ก็มีกำหนดปิดตัวในปี 2565
เช่นเดียวกัน
ทำให้เห็นได้ชัดว่าความสำคัญของก๊าซต่อระบบไฟฟ้าจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
ถึงแม้ว่าในอดีตโรงไฟฟ้าก๊าซจะได้เดินเครื่องเพียงร้อยละ 38
จากกำลังการผลิตทั้งหมด 30 กิกกะวัตต์
ที่เทียบไม่ได้เลยกับโรงไฟฟ้าถ่านหินลิกไนต์ที่ได้เดินเครื่องถึงเท่าตัวของโรงไฟฟ้าก๊าซ
นอกจากนี้ ยังมีการคำนวณเอาไว้ว่า ความต้องการใช้ก๊าซจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 30-81
เทระวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ภายในปี 2565 ทั้งนี้
ต้องขึ้นอยู่กับการแย่งสัดส่วนการผลิตที่เดิมถูกถือครองโดยถ่านหิน
สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือการสร้างแรงจูงใจให้กับการลงทุนระยะยาวในระบบไฟฟ้าและระบบโครงสร้างพื้นฐานของก๊าซ
Timm Kehler กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า
รัฐบาลมีความตื่นตัวในการรักษาฐานการผลิตจากก๊าซ และสร้างฐานการผลิตเพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเล็งเห็นความสำคัญว่า ผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภคในเมือง
ซึ่งยังคงใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าและความร้อน
ควรได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการเปลี่ยนผ่านนี้
แหล่งที่มาภาพ : https://www.neweurope.eu
ทั้งนี้ เยอรมนีเล็งเพิ่มสัดส่วนการนำเข้า LNG หรือก๊าซธรรมชาติเหลว จากแหล่ง Nord Stream 2 ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง และยังมีอีก 3 โครงการที่แข่งขันกันเพื่อรับใบอนุญาตประกอบกิจการรับซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว
ที่มา : https://www.reuters.com/article/us-energy-eworld-fair-gas/german-gas-demand-seen-rising-due-to-coal-exit-plan-idUSKCN1PV155
แปลและเรียบเรียงโดย : ถลัชนันท์ โสตถิโสภา
ที่มา : การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย