นายบัณฑิต สะเพียรชัย
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในไตรมาสที่ 1/2562
บริษัทฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีทั้งในประเทศไทย
ญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ เป็นผลจากสภาพอากาศที่ดี
ความเข้มแสงและความเร็วลมเฉลี่ยอยู่ในระดับที่สามารถผลิตไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
แม้จำนวนเมกะวัตต์ได้ลดลงจากการจำหน่ายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF)
ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้วก็ตาม
คิดเป็นรายได้จากการขายไฟฟ้าที่ 808
ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2561 และไตรมาสที่ 4/2561
แต่หากคิดเป็นผลกำไรแล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 492 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
110 ล้านบาท หรือสูงถึงร้อยละ 29 อีกทั้งยังรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 38
ล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน
ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสที่ 1/2562 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 61 และกำไรต่อหุ้นที่
0.25 บาท
สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจากการดำเนินงานปกติ
(ก่อนหักค่าตัดจำหน่าย) อยู่ที่ 225
ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 203 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2561 (หลังการปรับปรุงงบการเงิน)
มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่ประเทศฟิลิปปินส์ที่ทำจุดสูงสุดใหม่
เป็นผลจากความเร็วลมเฉลี่ยที่ดีต่อเนื่องในบริเวณที่ตั้งโครงการ
เนื่องจากการพัดผ่านของพายุมรสุม
และพายุดีเปรสชั่นเขตร้อนซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยฤดูกาล
ในขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ประเทศอินโดนีเซีย
ยังดำเนินงานอย่างมีเสถียรภาพต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ
มีส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าจาก
181 ล้านบาท เป็น 188 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562
สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 31,669 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2561
ส่วนหนี้สินรวมอยู่ที่ 16,125 ล้านบาท
ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1.8 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย โดย ณ
สิ้นงวด อยู่ที่ 15,325 ล้านบาท
ลดลงร้อยละ 1.6 จากสิ้นปีก่อนหน้า
"ผลงานไตรมาสแรกถือเป็นการเริ่มต้นปีที่ดีสำหรับบีซีพีจี
สำหรับในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ
จะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการที่ลมลิกอร์ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว
และเรายังวางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายหน่วยงาน
โดยเน้นความสำคัญของการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน
ทั้งในรูปแบบ wholesale และ retail
ล่าสุดโครงการนำร่องซื้อขายไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่
T77 ได้รับคัดเลือกจากสื่อระดับโลกคือ The
Business Debate และ Reuters ให้เป็นหนึ่งในโครงการที่สนับสนุนเป้าหมายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน
17 ข้อของสหประชาชาติ โดยจัดทำวีดิโอเกี่ยวกับโครงการและสัมภาษณ์ผู้บริหาร 3
หน่วยงานพันธมิตรคือบีซีพีจี แสนสิริ และพาวเวอร์ เลดเจอร์ไว้ในเว็บไซต์ของ Reuters
ที่ https://www.reuters.com/17-goals" นายบัณฑิตกล่าวทิ้งท้าย