นายยงยุทธ จันทรโรทัย
อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.)
เปิดเผยระหว่างการนำคณะผู้บริหารและสื่อมวลชนลงพื้นที่เยี่ยมชม "โครงการระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำและบนหลังคา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตน้ำประปา"
ของ บริษัท เอส ซี จี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน)
นิคมอุตสาหกรรมหนองแคว่า โครงการดังกล่าวได้รับรางวัลดีเด่นThailand Energy
Awards 2019 ด้านพลังงานทดแทน
ประเภทโครงการที่ไม่เชื่อมโยงกับระบบสายส่งไฟฟ้า (Off-Grid) และเป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับการคัดเลือกเข้าชิงรางวัลในเวทีประกวดอาเซียน
เอเนอร์จี อวอร์ด (ASEAN Energy Awards 2019 )
ที่จะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพเนื่องจากเป็นโครงการที่มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานทดแทน
" ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคา
(โซลาร์รูฟท็อป) ไม่เพียงมีส่วนสำคัญต่อการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม
เนื่องจากเป็นพลังงานสะอาด
แต่ยังมีส่วนช่วยในการยกระดับการพัฒนานวัตกรรมที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้มากขึ้นโดยเฉพาะ
ซึ่งติดตั้งแผงโซลาร์ในน้ำก็นับเป็นนวัตกรรมที่เอสซีจี
พัฒนาขึ้นที่จะเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าให้กับแสงอาทิตย์ได้มากยิ่งขึ้น
ซึ่งการส่งเสริมพลังงานทดแทนเป็นไปตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก
หรือ AEDP 2015"นายยงยุทธกล่าว
ทั้งนี้การพัฒนาโครงการดังกล่าวได้มีการนำพื้นที่ที่ไม่เกิดประโยชน์มาใช้เพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
เช่น พื้นที่บนหลังคา บ่อน้ำ โดยการติดตั้งระบบไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งในโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์บนหลังคาและแบบลอยน้ำที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากขึ้นและยังลดการระเหยน้ำจากบ่อได้ถึง
7% ซึ่งทำให้บริษัทสามารถลดการใช้ไฟฟ้าจากระบบสายส่งได้ถึง 14%
ด้วยกำลังการผลิตติดตั้งทั้งสิ้น160 Kw สามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในการผลิตน้ำประปา
ได้ประมาณ 236,512 หน่วยต่อปี
รวมทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 134 ตันต่อปี
การดำเนินโครงการนี้ให้ผลตอบแทนด้านการลงทุนสูงถึง (IRR) 18%
ตลอดระยะเวลา 25 ปี สามารถลดต้นทุนได้สูงถึง 20.4 ล้านบาท
ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 3,365 ตัน ระยะเวลาคืนทุน 5-6 ปี
ถือว่าโครงการนี้ เป็นโครงการที่มีประสิทธิภาพ และเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปใช้กับโครงการอื่นๆของบริษัท
ทั้งในและต่างประเทศถึง 5โครงการ คิดเป็นมูลค่า 200 ล้านบาท
สามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตได้ถึง 199 ล้านหน่วยต่อปี
ทำให้โรงงานทั้งหมดสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ถึง 30 ล้านบาทต่อปี