วันนี้ (22 ส.ค. 62) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เป็นประธานแถลงข่าว
ความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานครังที่ 37
และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง (ASEAN Ministers on Energy Meeting and
Associated Meeting : 37th AMEM) โดยกล่าวว่า
การประชุม AMEM จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 6
กันยายน 2562 โดยประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียนปี พ.ศ. 2562
จะเป็นเจ้าภาพจัดเวทีประชุมสร้างความร่วมมือ 3 กลุ่มผู้เล่นด้านพลังงานคือ
เวทีระหว่างประเทศอาเซียน 10 ประเทศ เวทีระหว่างประเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา
และเวทีระหว่างประเทศอาเซียนกับองค์กรระหว่างประเทศในประเด็นพลังงานต่างๆ
ซึ่งในปีนี้มีแนวคิดหลัก (Theme) ของการประชุม AMEM คือ
"Advancing Energy Transition Through Partnership and Innovation" คือมุ่งเน้นความร่วมมือของกลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศคู่เจรจา
รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศ ในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงาน
เพื่อให้ภูมิภาคอาเซียนสามารถก้าวเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่พลังงานที่มีความยั่งยืนในอนาคต
ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของอาเซียนที่จะสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน
เพิ่มการเข้าถึงพลังงาน และสร้างพลังงานที่มีความยั่งยืนให้กับประชาชนในภูมิภาคอาเซียน
เวทีการประชุมในช่วงแรกวันที่ 2
– 3 กันยายน จะเป็นการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน
เพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน
ส่วนการประชุมระดับรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน จะมีขึ้นในวันที่ 4 – 5
กันยายน โดยจะมีนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานเปิดการประชุม
ซึ่งประเด็นหารือจะเป็นการสรุปกิจกรรมและผลงานรวมทั้งข้อเสนอต่างๆ
ภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียนด้านพลังงานนำเสนอต่อรัฐมนตรีพลังงานของ 10 ประเทศ
เพื่อรับทราบและเห็นชอบแผนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ส่วนการจัดประชุม ทวิภาคีระหว่างประเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา
กระทรวงพลังงานจะเปิดโอกาสให้ผู้นำระดับรัฐมนตรีพลังงานและเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนได้พบปะเจรจาระหว่างการประชุม
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า "การประชุม
AMEM ครั้งนี้เป็นเวทีที่ไทยจะได้แสดงบทบาทในการขับเคลื่อนความมั่นคง
และความยั่งยืนทางพลังงานร่วมกับประเทศในภูมิภาค
และยังเป็นโอกาสที่ไทยจะได้แสดงศักยภาพให้นานาชาติประจักษ์ถึงความพร้อมในการเป็นศูนย์เชื่อมโยงไฟฟ้าอาเซียน
โดยอาศัยจุดแข็งที่มีอยู่เช่น
ภาคการเกษตรของไทยที่สามารถพัฒนาผลิตเป็นพลังงานชีวภาพรูปแบบต่างๆ รวมทั้งจุดแข็งด้านภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศที่จะเชื่อมโยงการลงทุนจากทุกภูมิภาคได้
ซึ่งในการประชุมครั้งนี้่จะมีความร่วมมือที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่
การขยายปริมาณการซื้อขายไฟฟ้่าเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าพหุภาคีในโครงการลาว - ไทย -
มาเลเซีย (LTM – PIP) จากเดิม 100 เมกะวัตต์เป็น 300 เมกะวัตต์
ซึ่งไทยเป็นประเทศทางผ่านของการเชื่อมโยงระบบสายส่งที่มีเสถียรภาพและความมั่นคงเพียงพอ"
นอกเหนือจากเวทีประชุมความร่วมมือดังกล่าว
ยังมีการจัดกิจกรรม ASEAN Energy Business Forum (AEBF) คู่ขนานไปกับการประชุมหลัก
โดยจะเป็นงานนิทรรศการ และการแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานจากผู้ประกอบการ
รวมทั้งการจัดสัมมนาภายใต้หัวข้อหลัก "Renewable Energy Innovation Week" เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับผู้เชี่ยวชาญจากประเทศอาเซียนและประเทศต่าง
ๆ อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ภาครัฐและภาคเอกชนได้มีส่วนร่วมในการบูรณาการเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมด้านพลังงานหมุนเวียนและดึงดูดนักลงทุน
รวมทั้งจะมีการจัดพิธีมอบรางวัล ASEAN Energy Awards ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีควบคู่กับการประชุม
AMEM เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันผลักดันให้เกิดการขยายการผลิตและการใช้พลังงานทดแทน
และผลักดันให้เกิดการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน
สำหรับกรอบความร่วมมืออาเซียนด้านพลังงานมี
7 สาขา และ 1 เครือข่ายความร่วมมือที่สำคัญ ประกอบด้วย 1)
ความเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน 2)
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับขนส่งก๊าซธรรมชาติ 3)
การส่งเสริมเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด 4) การส่งเสริมพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ 5)
การส่งเสริมพลังงานทดแทน 6)
การส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและอนุรักษ์พลังงาน 7)
การจัดทำนโยบายและแผนอาเซียนด้านพลังงาน
รวมถึงเครือข่ายความร่วมมือด้านการกำกับกิจการพลังงาน