วันนี้ (4 ธ.ค.62) นายสนธิรัตน์
สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)
โดยที่ประชุมได้รับทราบแนวทางการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อ-ขาย LNG
ของภูมิภาค (Regional LNG Hub) ซึ่งเป็นผลศึกษาที่ปตท.ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาประเทศไทยให้เป็น
Regional LNG Hub พัฒนาให้เกิดเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจซื้อ-ขาย
LNG ภายในภูมิภาค
เนื่องจากไทยมีศักยภาพเพียงพอทั้งด้านความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่อยู่ระดับสูงโดยเฉลี่ยปี
2562 นำเข้าประมาณ 5 ล้านตันต่อปี ศักยภาพด้านภูมิรัฐศาสตร์
ที่ตั้งอยู่ตำแหน่งเป็นศูนย์กลางของประเทศที่มีความต้องการ LNG ได้แก่
จีน ญี่ปุ่น อินเดีย พม่า กัมพูชา เวียดนาม
ตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อ-ขายของ LNG ภายในภูมิภาคคิดเป็นประมาณ
60% ของการซื้อ-ขาย LNG ในโลก และมีความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานรองรับการให้บริการอย่างหลากหลาย อาทิ
การขนถ่าย LNG จากเรือ การให้บริการกักเก็บ LNG ในถังกักเก็บ
การแปรสภาพ LNG เป็นก๊าซธรรมชาติส่งผ่านลูกค้าในประเทศ เป็นต้น
ทั้งนี้
แผนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการดำเนินธุรกิจ Regional
LNG Hub คาดว่าจะเริ่มทดสอบกิจกรรมการให้บริการต่างๆ
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 เช่น ระบบบริการขนถ่าย LNG (Reload System) ให้บริการเติม
LNG แก่เรือที่ใช้ LNG เป็นเชื้อเพลิงในการเดินเรือ
(Bunkering) และทำการตลาดเพื่อสื่อสารให้กับผู้ค้า LNG
เข้ามาใช้บริการ โดยช่วงไตรมาสที่ 2 - 3 ของปี 2563
จะเริ่มทดลองค้าขาย LNG เชิงพาณิชย์
จะมีการทบทวนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับภูมิภาคและระดับสากล
คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบประมาณปลายปี 2563 หรือต้นปี
2564 เป็นต้นไป
สำหรับผลที่ได้รับจากการพัฒนา Regional
LNG Hub จะทำให้ประเทศไทยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ
LNG เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เพิ่มการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิม
ซึ่งผลของการพัฒนาเป็น Hub ดังกล่าวจะเกิดผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของไทยโดยรวมประมาณ
165,000 ล้านบาทในช่วง 10 ปี (ปี 2563-2573)
และมีผลต่ออัตราการจ้างงานเฉลี่ยในประเทศเพิ่มขึ้นเท่ากับ 16,000 คนต่อปี
อีกทั้งยังช่วยลดภาระการส่งผ่านอัตราค่าบริการไปยังค่าไฟฟ้าด้วย
ประชุมฯ
รับทราบรายงานความก้าวหน้าของสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. และ กฟผ. (Global
DCQ) ซึ่งเป็นสัญญาเพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
(กฟผ.) เพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านเชื้อเพลิงก๊าซฯ
และมีความยืดหยุ่นในการจัดหาเชื้อเพลิงก๊าซฯ โดยเสรีที่ไม่มีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า
ภายใต้แผนความต้องการใช้ก๊าซฯของประเทศ ซึ่งสัญญากำหนดปริมาณความต้องการใช้ก๊าซฯ
เฉลี่ยรายวัน (DCQ) โดยการหารือร่วมกันระหว่าง ปตท. และ
กฟผ.ยังไม่ได้ข้อสรุป ยังมีบางประเด็นต้องเจรจา ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
(กกพ.) จะพิจารณาภายใต้หลักการให้เกิดความมั่นคงทางพลังงาน ให้เป็นธรรมทุกฝ่าย
และไม่กระทบต่อค่าไฟฟ้า ทั้งนี้ คาดว่าสามารถดำเนินการลงนามสัญญา Global
DCQ ได้ภายในปี 2562 สำหรับขั้นตอนต่อไปจะเป็นกระบวนการพิจารณาจากคณะกรรมการ
กฟผ. อัยการสูงสุด กบง. และนำเสนอ กพช. ต่อไป
นอกจากนี้ กบง.
ยังได้รับทราบแนวทางการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100)
เพื่อใช้ผสมเป็นดีเซลหมุนเร็ว
โดยยังคงให้ใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซลที่มีอยู่ปัจจุบันไปก่อน
และมอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ติดตามผลการใช้ B10
เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดพื้นฐานและศึกษาผลกระทบต่างๆ
เร่งศึกษาหลักเกณฑ์การคำนวณราคาไบโอดีเซลใหม่ที่เหมาะสม และนำมาเสนอ กบง.
เพื่อประกอบการศึกษาผลทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคา B100
ต่อไป