ทุกวันนี้แวดวงพลังงานทั่วโลกกำลังก้าวสู่ยุค
‘เอนเนอร์จี ดิสรัปชัน’ (Energy
Disruption) ที่การใช้พลังงานรูปแบบเดิมๆ
กำลังถูกพลิกโฉมสู่เทรนด์ 3Ds ได้แก่ 1. Decarbonization การใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมให้การผลิตพลังงานนั้นสะอาดขึ้น
ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2. Decentralization การกระจายตัวของแหล่งผลิตและจำหน่ายพลังงาน
ที่ภาคเอกชน ชุมชน และครัวเรือนสามารถติดตั้งแหล่งผลิตพลังงาน อาทิ โซลาร์รูฟท็อป
หรือโรงไฟฟ้าพลังงานโซลาร์ เพื่อผลิตไฟฟ้าไว้ใช้และนำไปจำหน่ายต่อได้
ซึ่งหากมีนโยบายภาครัฐสนับสนุนจะช่วยให้การกระจายตัวนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
3. Digitalization ความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีจะเข้ามาปลดล็อกการตรวจสอบ
ควบคุม และบริหารจัดการการใช้งานพลังงานสะอาดให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์ Fortunebusinessinsights.com ระบุว่าตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วโลกในปีพ.ศ.
2569 จะมีขนาดถึง 4,766 กิกะวัตต์1
ในโอกาสนี้ ‘บ้านปู เน็กซ์’ บริษัทลูกของบ้านปูฯ
ในฐานะผู้ให้บริการสมาร์ทโซลูชันด้านพลังงานสะอาดแบบครบวงจรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
จึงได้รวบรวม 5
เทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทกับการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยมาฝาก ได้แก่
อินเทอร์เน็ตออฟติงส์ ระบบไมโครกริด ระบบกักเก็บพลังงาน เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
และบล็อกเชน
นางสมฤดี ชัยมงคล
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)
และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กล่าวว่า "ประเทศไทยมีแนวโน้มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มสูงขึ้นทั้งจากภาคเอกชนที่เริ่มเห็นความสำคัญ
และตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม ตลอดจนนโยบายการส่งเสริมจากภาครัฐที่ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็น
6,000 เมกะวัตต์ภายในปี พ.ศ. 25792 ดังนั้น บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด
ภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter ของบ้านปูฯ
ที่มีจุดยืนในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
จึงมุ่งขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานสะอาดให้ตอบเทรนด์การใช้พลังงานของโลกในอนาคต
พร้อมนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาผสานเข้ากับระบบบริหารจัดการพลังงาน
นำไปใช้พัฒนาแอปพลิเคชัน รวมถึงพัฒนาระบบบริการหลังการขายของบริษัทฯ
โดยเฉพาะในธุรกิจระบบผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ ในโอกาสนี้จึงได้รวบรวม 5
เทคโนโลยีสำหรับพลังงานโซลาร์ที่จะเข้ามาเสริมการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ
เสถียรภาพ คุ้มค่า และยั่งยืนยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการ
หรือผู้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานโซลาร์
มีการบริหารจัดการพลังงานที่เหมาะกับการใช้งาน หรือการดำเนินงานของแต่ละองค์กร
และช่วยลดต้นทุนในระยะยาว"
เทคโนโลยี 3 สิ่ง ที่บ้านปูฯ
นำมาเสริมศักยภาพให้กับโซลาร์โซลูชัน
อินเทอร์เน็ตออฟติงส์ (Internet
of Things - IoT) เทคโนโลยีที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ
ผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งบ้านปูฯ นำ IoT มาใช้ในการบริหารจัดการระบบการทำงานของอุปกรณ์
และช่วยเสริมบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยเชื่อมต่อข้อมูลการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
ได้แก่ ข้อมูลการทำงานของระบบการผลิตไฟฟ้าของไซต์ ข้อมูลความเข้มแสง อุณหภูมิบนแผง
และความเร็วลมของไซต์งาน เพื่อนำมาประมวลผลในระบบคลาวด์ที่เป็นศูนย์กลาง
และนำไปแสดงผลให้แก่ 2 ส่วน คือ 1. ลูกค้าผู้ใช้งาน โดยบ้านปูฯ ได้พัฒนาโมบาย
แอปพลิเคชันแสดงข้อมูลต่างๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้น
ลูกค้าสามารถตรวจสอบการทำงานของแผงโซลาร์เซลล์ ดูข้อมูลกำลังการผลิตไฟฟ้า
และข้อมูลการประหยัดไฟในแต่ละวัน พร้อมอัพเดทการแจ้งเตือนต่างๆ
รวมถึงการคำนวณปริมาณ CO2
ที่ลดลงจากการใช้โซลาร์ของลูกค้าเทียบเท่าปริมาณการประหยัดน้ำ และการปลูกต้นไม้ 2.
เพิ่มศักยภาพในการบริการหลังการขาย โดยทีมวิศวกรและทีมบริการหลังการขาย
สามารถได้รับข้อมูล
การทำงานของระบบ พฤติกรรมการใช้ไฟของแต่ละไซต์
รวมถึงความผิดปกติต่างๆ แจ้งเตือนปัญหาแบบเรียลไทม์
และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
ระบบไมโครกริด (Microgrid) ระบบไฟฟ้าที่สามารถจ่ายไฟฟ้าแบบอิสระได้โดยไม่ต้องเชื่อมโยงกับระบบโครงข่ายไฟฟ้า
หรือทำงานขนานกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าเดิม ประกอบด้วยระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดต่างๆ
เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ พลังงานลม เป็นต้น ระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า (Energy
Storage System) และระบบการจัดการพลังงานไฟฟ้า (Energy
Management System) ซึ่งระบบนี้สามารถนำมาใช้และผลิตไฟฟ้าจากพลังงานโซลาร์ได้
100% โดยไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากแหล่งอื่น บ้านปูฯ ได้นำระบบไมโครกริดแบบเคลื่อนที่
ไปใช้เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าในงานไลฟ์สไตล์อีเว้นท์ต่างๆ เช่น คอนเสิร์ต งานเทศกาล
เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้พลังงานสะอาดให้แก่คนไทย
ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการนำระบบไมโครกริดไปใช้ในโครงการพื้นที่อุตสาหกรรมและ Smart
City บางแห่งด้วย
ระบบกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ (Energy
Storage System) หัวใจสำคัญที่จะมาช่วยยกขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการพลังงานโซลาร์
เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานสำรองไว้ใช้ในเวลากลางคืนแล้ว
ยังช่วยเพิ่มเสถียรภาพของการใช้พลังงานให้ดียิ่งขึ้น
รวมถึงช่วยกระจายพลังงานให้เหมาะสมกับการใช้งานในช่วงต่างๆ ด้วย ซึ่งบ้านปูฯ
ได้ร่วมมือกับบริษัท ดูราเพาเวอร์ โฮลดิ้งส์
พัฒนาโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในเมืองซูโจว (Suzhou) สาธารณรัฐประชาชนจีน
พร้อมนำความเชี่ยวชาญด้านพลังงานมาพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับกลุ่มที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและกลุ่มที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัย
เพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถใช้พลังงานโซลาร์ได้อย่างคุ้มค่าทั้งกลางวันและกลางคืน
นอกจากนี้หากในอนาคตมีนโยบายสนับสนุนการซื้อขายไฟฟ้า ก็สามารถนำไฟฟ้าที่เหลือจากการใช้งานนี้ไปขายต่อได้อีกด้วย
ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้การใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์แพร่หลายมากขึ้น
เทคโนโลยี 2 สิ่ง ที่บ้านปูฯ
เล็งเห็นว่าจะเข้ามามีบทบาทในการเสริมศักยภาพการใช้พลังงานโซลาร์ในอนาคต
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial
Intelligence - AI) การใช้ AI สำหรับโซลาร์และแวดวงพลังงาน
จะเป็นเทคโนโลยีที่จะมาช่วยในการประมวลผลดาต้าจำนวนมหาศาล เช่น
พื้นที่หรือแหล่งชุมชนที่มีการใช้พลังงานในปริมาณที่แตกต่างกัน
รวมถึงมีจุดผลิตไฟฟ้าหลากหลายไซต์ในระบบ ทั้งจากโรงไฟฟ้าพลังงานโซลาร์ พลังงานลม หรือพลังงานน้ำ
ซึ่งจะมีโครงข่ายระบบผลิตและและการจ่ายไฟฟ้าที่ซับซ้อนมาก โดย AI สามารถรวบรวมข้อมูลทั้งระบบได้อย่างรวดเร็ว
นำมาวิเคราะห์ ประมวลผล
รวมถึงคาดการณ์แนวโน้มในการผลิตและการใช้พลังงานได้อย่างแม่นยำ
จึงสามารถนำมาออกแบบแหล่งปริมาณและการใช้พลังงานที่เหมาะสมได้
รวมถึงคาดการณ์ปัญหาของระบบที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า
ทำให้เราสามารถวางแผนการซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) ได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งในอนาคตบ้านปูฯ มองว่า AI จะเข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการการใช้พลังงานอย่างชาญฉลาดในโครงการ
Smart City และโครงการโซลาร์ที่จะมีจำนวนมากขึ้น
จะเห็นได้ว่า AI สามารถนำมาใช้วางแผนบริหารจัดการพลังงานเชิงรุก
และการดูแลรักษาระบบ เช่น นำเสนอโซลูชันที่ช่วยเพิ่มมูลค่า
และลดต้นทุนด้านการใช้พลังงานให้ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
บล็อกเชน (Blockchain) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนา
Energy Trading Platform ซึ่งจะเป็นเครือข่ายเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้ (Peer-to-peer Network) ทำให้สามารถซื้อ -
ขายไฟฟ้าได้โดยตรงไม่ผ่านคนกลาง ซึ่งระบบในการเก็บดาต้านี้มีความปลอดภัยสูง
มีความน่าเชื่อถือ รวดเร็ว และปราศจากข้อผิดพลาดในการทำธุรกรรม
จึงเหมาะกับการใช้ซื้อขายไฟฟ้าระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้งานแต่ละรายในระบบ
โดยปัจจุบันประเทศไทย
ทั้งภาครัฐและเอกชนได้ริเริ่มโครงการที่ให้ผู้บริโภคสามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองและสามารถขายให้ระหว่างกันได้ผ่านระบบบล็อกเชน
"บ้านปูฯ เชื่อว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ จะเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างสมาร์ทซิตี้
และโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ดังนั้นเราจะมุ่งนำเทคโนโลยีมาเสริมศักยภาพการดำเนินงานและนำเสนอเป็นโซลูชันด้านพลังงานสะอาดที่หลากหลายให้แก่ทุกภาคส่วน
ขณะเดียวกันจะเดินหน้าขยายพอร์ตธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ
ขยายธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle-EV) เดินหน้าพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน
(Energy Storage System) และขยายพอร์ตโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและพลังงานลม
เพื่อผลักดันให้ทุกภาคส่วนหันมาใช้พลังงานสะอาดกันมากขึ้น" นางสมฤดี
กล่าวปิดท้าย
ข้อมูลอ้างอิง1
https://www.fortunebusinessinsights.com/industry-reports/solar-power-market-100764
ข้อมูลอ้างอิง2
https://www.dede.go.th/download/stat62/Calendar_Year_renewable_Energy_November_2562.pdf