กฟผ.เดินหน้าหน่วยลงทุนโรงไฟฟ้าโครงสร้างพื้นฐานคาดดีเดย์มิ.ย.นี้
นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เปิดเผยถึงแผนการระดมทุนภายใต้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน( Infrastructure Fund ) ที่กฟผ.นำโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือชุดที่2 เข้าระดมทุน เป็นโครงการแรก ว่า จะมีการเดินสายโรดโชว์กับนักลงทุนในเดือน พฤษภาคม 2558 นี้ และคาดว่าจะสามารถจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนให้กับผู้ที่สนใจ ได้ในเดือนมิถุนายน 2558 หลังจากที่แผนงานดังกล่าวมีความล่าช้าออกไปจากเดิมที่คาดว่าจะจำหน่ายหน่วยลงทุนได้ภายในไตรมาสที่แรกของปีนี้ เนื่องจาก กฟผ. ต้องการที่จะให้การดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือชุดที่2 กำลังการผลิตรวมประมาณ800เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง นั้นแล้วเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้ระยะเวลาที่ใกล้เคียงกับการออกระดมทุน เพื่อให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น โดยคาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถทดลองจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ประมาณปลายปี2558 และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในเชิงพาณิชย์ ได้จริงประมาณต้นปี2559
นายสุนชัย กล่าวว่า การตัดสินใจนำโครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือชุดที่2 ออกระดมทุนเป็นโครงการแรก เนื่องจากเป็นโครงการที่มีความพร้อมมากที่สุด และสามารถที่จะให้ผลตอบแทนกับนักลงทุนได้ในเงื่อนไขที่น่าพอใจ โดยที่ไม่เป็นภาระต่อการลงทุนของกฟผ.รวมทั้งภาระค่าไฟฟ้าต่อผู้บริโภค ทั้งนี้ กฟผ.ได้ว่าจ้างธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีบี เป็นที่ปรึกษาทางการเงินมาตั้งแต่ 1 พ.ย.2556 และคัดเลือก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีเอเอ็ม ทำหน้าที่ผู้จัดการกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งนี้การจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จะใช้รายได้หรือกระแสเงินสดในอนาคตของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือเป็นทรัพย์สินในการระดมทุน ประมาณวงเงิน 1.9-2 หมื่นล้านบาท โดยอายุกองทุนอยู่ที่ 15-20 ปี โดยจะนำเงินจากการระดมทุนนี้ไปลงทุนในการพัฒนา โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และโครงการขยายระบบส่งของ กฟผ.
การดำเนินการระดมทุนภายใต้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นไปตาม นโยบายของกระทรวงการคลัง ที่ต้องการให้รัฐวิสาหกิจ จัดหาแหล่งเงินทุนทางเลือกใหม่ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยไม่ติดข้อจำกัดด้วยภาระหนี้ของประเทศ อันจะก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนแบ่งเบาภาระการคลังของรัฐบาล ทั้งนี้ กฟผ. ยังคงเป็นเจ้าของและมีอำนาจในการบริหารจัดการแผนการเดินเครื่อง และการบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือเหมือนเดิม
..........................