เมื่อวันที่ 13
กรกฎาคม 2563 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้หารือกับ นายทาเคทานิ อัทสึชิ
ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) พร้อมด้วยคณะผู้แทนหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ
(JCC) ซึ่งประกอบไปด้วยนักธุรกิจของประเทศญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
เข้าพบเพื่อนำเสนอข้อมูลรายงานผลการสำรวจความคิดเห็นและแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย
ประจำครึ่งปีแรก พ.ศ. 2563 ให้กับกระทรวงพลังงานรับทราบ
ซึ่งการรายงานผลสำรวจดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นถึงสภาพธุรกิจ
ทิศทางและแนวโน้มการดำเนินธุรกิจของประเทศญี่ปุ่นในประเทศไทย
อันจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดทิศทางนโยบายด้านพลังงานของไทยกับประเทศญี่ปุ่นในอนาคต โดยมีบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้าร่วมการประชุมหลายบริษัท
อาทิ บริษัท มิทซูบิชิ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท มิทซุย จำกัด (ประเทศไทย)
จำกัด บริษัท มารูเบนิ จำกัด (ประเทศไทย)
จำกัด บริษัท โตโยตา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ซูมิโตโม (ประเทศไทย)
จำกัด เป็นต้น ฝ่ายญี่ปุ่นได้นำเสนอรายงานผลสำรวจความคิดเห็นและแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย
ประจำครึ่งปีแรก พ.ศ. 2563
โดยพบว่า
ค่าดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจปรับตัวลดลงเท่ากับ -69
ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2563 และคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งหลังของปี
พ.ศ. 2563 จะมีการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ
โดยค่าดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจน่าจะปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ -44
และยังยืนยันที่จะยังคงประกอบกิจการหรือขยายขนาดของธุรกิจในประเทศไทยต่อไป โดยบริษัทส่วนใหญ่ต้องการมาตรการส่งเสริมการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เช่น
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการสาธารณูปโภคและการพัฒนาระบบพิธีการทางศุลกากรที่เอื้อต่อภาคธุรกิจมากขึ้น ที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงแนวทางการลงทุนและแนวทางการดำเนินธุรกิจด้านพลังงานในประเทศไทย
โดยฝ่ายนักธุรกิจญี่ปุ่นได้แสดงความสนใจในธุรกิจหลายด้าน
อาทิ เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้า ธุรกิจการผลิตปิโตรเลียม
ตลาดการซื้อขายแลกเปลี่ยนก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG การผลักดันมาตรฐานเชื้อเพลิงน้ำมัน EURO-5 รวมถึง
ได้แสดงความสนใจในนโยบายภาครัฐของไทยในการสนับสนุนธุรกิจด้านพลังงานทดแทน เช่น
พลังงานแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงชีวมวลเพื่อผลิตไฟฟ้า
และการสนับสนุนของภาครัฐในการผลักดันการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคขนส่ง เป็นต้น
ทั้งนี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ให้ข้อมูลแนวนโยบายภาครัฐของประเทศ
รวมถึงร่วมกันหารือทิศทางการพัฒนาพลังงานในด้านต่าง ๆ ร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่น อาทิ
การให้ความสำคัญกับการลดการนำเข้าพลังงานฟอสซิลและการกระจายแหล่งเชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงานให้มีความหลากหลายและสมดุล
รวมถึงการมุ่งเน้นการใช้เชื้อเพลิงพลังงานทดแทนจากท้องถิ่น โดยผลักดันให้เกิด "โรงไฟฟ้าชุมชน"
เช่น การผลิตก๊าซชีวภาพจากของเหลือใช้จากภาคการเกษตร
การผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงชีวมวลจากไม้ไผ่
การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในระดับครัวเรือน เป็นต้น
ส่วนในด้านเชื้อเพลิงชีวภาพที่ฝ่ายญี่ปุ่นให้ความสนใจนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ให้ข้อมูลทิศทางการพัฒนาการใช้น้ำมันไบโอดีเซลและเอทานอลในภาคขนส่ง
โดยกำหนดมาตรฐานสัดส่วนเชื้อเพลิงชีวภาพให้ใช้ B10
และ E20 เป็นเชื้อเพลิงหลัก นอกจากนั้น
ประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว โดยผลักดันกระบวนการประมูลแหล่งเชื้อเพลิงปิโตรเลียมให้ทันตามกำหนดเวลา
การมุ่งไปสู่การเป็น LNG Hub ของภูมิภาคอาเซียน รวมทั้ง
เร่งการเจรจาเพื่อใช้ประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมในเขตพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา
ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีการใช้ประโยชน์จากเชื้อเพลิงด้านพลังงานอย่างสมดุลและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศ
ในโอกาสนี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ยังได้กล่าวต้อนรับและเชิญชวนนักธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาร่วมลงทุนและดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองประเทศจะได้เกิดการพัฒนาด้านพลังงานร่วมกันทั้งในด้านนโยบายและภาคธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม
ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยในการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงานของประเทศไทย
ในอนาคตต่อไป