นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เดินทางลงพื้นที่ตรวจราชการ
จ.ระยอง
เยี่ยมชมและรับฟังความก้าวหน้าโครงการพัฒนาพลังงานชุมชนด้วยระบบผลิตและส่งจ่ายก๊าซชีวภาพจากฟาร์มสุกร
ต.ป่ายุบใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ซึ่งเป็นโครงการเปลี่ยนของเสียที่ได้จากมูลสุกรให้เป็นพลังงาน
ถือเป็นโครงการที่เกิดจากกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
เพราะมีการประสานความร่วมมือทั้งหน่วยงานภาคีและภาคชุมชนเข้ามาร่วมศึกษาเรียนรู้ในกระบวนการคิดวางแผน
การประชาคม การก่อสร้าง รวมถึงการร่วมทุน ซึ่งการดำเนินโครงการฯ
เป็นแนวทางที่สอดคลัองกับทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย "พลังงานร่วมใจ
รวมไทยสร้างชาติ" ที่มีจุดมุ่งหมายสำคัญทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น
เกิดการพัฒนาการจ้างงานกระจายสู่ท้องถิ่น
"โครงการพัฒนาพลังงานชุมชนด้วยระบบผลิตและส่งจ่ายก๊าซชีวภาพจากฟาร์มสุกรนี้จะช่วยสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนในชุมชน
เกิดการเรียนรู้ เสริมสร้างความเข้มแข็งแก่สังคมแบบยั่งยืน
ทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้ร่วมจัดทำการวางแผนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์ของพลังงานอย่างครบวงจรในระดับชุมชน
อีกทั้งยังเกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economic) และสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านวิชาการ
ทั้งในชุมชนและสังคม และทั้งในภาครัฐ และเอกชน
เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริงและต่อเนื่อง
ถือเป็นโครงการตัวอย่างที่ควรนำไปขยายผลให้ชุมชนโดยรอบต่อไป" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าว
สำหรับโครงการฯ เป็นความร่วม 4
ฝ่ายประกอบด้วย เจ้าของฟาร์มสุกร ซึ่งมีส่วนร่วมในการก่อสร้างระบบผลิตก๊าซชีวภาพ
สถาบันวิทยสิริเมธี ช่วยสนับสนุนการบริหารโครงการ งานวิจัย งานวิชาการ
และการจัดการความเสี่ยง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ที่ถ่ายทอดความรู้การก่อสร้างระบบส่งจ่ายก๊าซชีวภาพ และร่วมวางระบบการบริหารจัดการ
และองค์การบริหารส่วนตำบลป่ายุบใน ที่สร้างกระบวนการชุมชนตั้งแต่สื่อความ
การจัดตั้งคณะกรรมการกลุ่มผู้ใช้ก๊าซชีวภาพ การจัดประชาคมหมู่บ้าน
และรับสมัครครัวเรือนเข้าร่วมโครงการฯ
เพื่อสร้างกระบวนการให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตัวเอง
และดูแลรักษาระบบได้ในระยะยาวอย่างยั่งยืน
โครงการมีระบบผลิตก๊าซชีวภาพได้ 800
ลูกบาศก์เมตรจากมูลสุกร 4,500 ตัว
ซึ่งปัจจุบันภาพรวมด้านวิศวกรรมโครงการงานก่อสร้างระบบใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว
คาดว่าจะสามารถส่งจ่ายก๊าซชีวภาพให้แก่ครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการได้ภายในเดือนกันยายน
2563 โดยชาวบ้านในชุมชนประมาณ 60
ครัวเรือนจะสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานหุงต้มในชุมชนได้ประมาณ 265,000
บาท/ปี ฟาร์มสามารถลดค่าไฟได้ 780,000 บาท/ปี
และในภาพรวมยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 2,350
ตันคาร์บอนไดออกไซด์/ปี ลดมลภาวะทางกลิ่นจากฟาร์ม
ทำให้ชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนพึ่งตนเองได้
สามารถบริหารจัดการด้านพลังงานได้อย่างยั่งยืน