นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สพน.) กล่าวว่า
ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) ที่มีนายสุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน เห็นชอบแนวทางลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสำหรับประชาชน
เพื่อเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในการดำรงชีพของประชาชน
ในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19
และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ดังนี้ แนวทางการลดภาระค่าไฟฟ้า
: มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
ไปดำเนินการทบทวนความต้องการรายได้ของการไฟฟ้า
ทบทวนหลักเกณฑ์ทางการเงินให้มีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เหมาะสม
และสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)
และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ไปบริหารจัดการปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
และให้ กกพ. ร่วมกับ กฟผ. จัดทำแผนการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า
รวมทั้งติดตามกำกับดูแลการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าของ กฟผ.
การทบทวนการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ:
มอบหมายให้ กกพ. ไปกำหนดอัตราค่าบริการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (S) และทบทวนค่าบริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ
ให้เหมาะสม
การช่วยเหลือราคา NGV: มอบหมายให้
กกพ. ทบทวนต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ ในโครงสร้างราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้มีความเหมาะสม
สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
และบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน
ทบทวนหลักเกณฑ์ในการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้า:
มอบหมาย กกพ. ไปปรับปรุงแนวทางการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้า
เพื่อให้สามารถจัดสรรเงินกองทุนฯ โครงการต่างๆ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน
สร้างรายได้ให้แก่ประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล
นอกจากนี้ยังเห็นชอบการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคา
ณ โรงกลั่นของน้ำมันกลุ่มดีเซลหมุนเร็ว
จากนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 10
เป็นน้ำมันดีเซลเกรดพื้นฐานของประเทศ กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.)
ได้ปรับเปลี่ยนชื่อเรียกน้ำมันกลุ่มดีเซลหมุนเร็ว โดยมีน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา
(บี7) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 เป็นทางเลือก จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1
ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป และการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ
โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 7 ในส่วนของค่า X จากเดิมเป็นค่าเฉลี่ย
เป็นอัตราต่ำ ซึ่งจะทำให้การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 7
ลดลงประมาณ 0.051 บาทต่อลิตร (ณ ราคาไบโอดีเซล 25.90 บาทต่อลิตร) ทั้งนี้
เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ค้าน้ำมันเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลบี 10
ในการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกิน
และช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มอีกทางหนึ่งด้วย
พร้อมทั้ง เห็นชอบให้ทบทวนการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(LPG) รัฐบาลยังคงช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อการดำรงชีพและภาระค่าครองชีพจากการแพร่ระบาดของโรค
COVID-19 กบง. จึงให้คงราคาขายปลีก LPG ออกไปอีก
3 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2563) ให้ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น LPG
ซึ่งไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 14.3758 บาทต่อกิโลกรัม
หรือราคาขายปลีกอยู่ที่ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยใช้กองทุนน้ำมันฯ
ในส่วนของ LPG มาบริหาร
(รายจ่ายประมาณ 450 ล้านบาท/เดือน)
ซึ่งเป็นไปตามกรอบวงเงินที่คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) กำหนดให้ใช้ได้ไม่เกิน
10,000 ล้านบาท หรืออีกประมาณ 5 เดือน (ตุลาคม 2563 - มกราคม 2564) ณ 13 กันยายน
2563 บัญชีก๊าซ LPG -7,424 ล้านบาท
เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนต่อไป
นอกจากนี้ยังเห็นชอบตามข้อเสนอเชิงนโยบายตามข้อเสนอของ
กกพ. เพื่อเยียวยาผู้ได้รับการคัดเลือกโครงการ SPP Hybrid Firm ในการขยายกำหนดวัน
SCOD โครงการ SPP Hybrid Firm ออกไป
1 ปี จากเดิมปี 2564 เป็นปี 2565 จากปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาโครงการฯ
ที่ไม่สามารถจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อมได้ตามระยะเวลา โดยมอบให้ กกพ.
ไปดำเนินการแจ้งผู้ได้รับการคัดเลือก ให้จัดทำรายงานแผนการดำเนินการโครงการฯ
และจัดส่งให้ กกพ. ภายในวันที่ 30 ตุลาคม 2563 เพื่อพิจารณา และนำผลการพิจารณา
มารายงานต่อ กบง. ต่อไป
อีกทั้ง กบง.ยังเห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการการส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(LPG) โดยให้ยกเลิกมติเดิม และมอบหมายให้
กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เป็นผู้อนุญาตการส่งออก LPG เป็นรายเที่ยว
สำหรับการส่งออกจากปริมาณที่ผลิตได้ในประเทศจะพิจารณาอนุญาตเฉพาะผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
7 ที่เป็นผู้ผลิต LPG และให้ส่งออกได้ในปริมาณ
ไม่เกินกว่าส่วนที่เกินจากความต้องการใช้ภายในประเทศ
และให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) พิจารณามาตรการ LPG จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติเพื่อการส่งออกและจำหน่ายในประเทศ
หากเกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และแจ้งให้ ธพ. ทราบ