นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน)
กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ Dow Jones Sustainability Indices ได้ประกาศให้บริษัท
ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เป็นสมาชิกของ DJSI 2563
ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 และเป็นอันดับ 1
ของอุตสาหกรรมการตลาดและการกลั่นน้ำมันและก๊าซ (Industry Leader) เป็นปีที่
6 จากการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในระดับสากล
"ไทยออยล์ดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์ที่จะสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต
ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน มุ่งเน้นการบริหารจัดการธุรกิจด้วยสมดุล 3
ด้านคือ การเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างคุณค่าสู่สังคม
และการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นเลิศ ภายใต้หลักธรรมาภิบาล
และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่ผู้มีส่วนได้เสียมาโดยตลอด ทำให้ในปี 2563 บริษัทฯ
ได้รับการประเมินเป็นสมาชิกของ DJSI ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 และเป็นอันดับ 1
ของอุตสาหกรรมการตลาดและการกลั่นน้ำมันและก๊าซ (Industry Leader) เป็นปีที่
6 ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานของบริษัทฯ
เป็นรางวัลแห่งความสำเร็จและความภาคภูมิใจของพนักงานทุกคน"
นายวิรัตน์ กล่าวเสริม "ในปีนี้
อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีได้เผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอกหลากหลายด้าน
โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว อันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
และความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก อันเนื่องมาจากอุปทานที่ล้นตลาด
ความขัดแย้งทางการค้าของขั้วมหาอำนาจของโลก
นอกจากนี้ทิศทางการใช้พลังงานของโลกมีแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไปใช้พลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด
บริษัทฯ จึงได้ปรับตัวผ่านทิศทางกลยุทธ์หลัก 3 ด้านคือ 1.
การสร้างห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์ (Hydrocarbon Value Chain) โดยการเร่งหาโอกาสในการลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมีเพิ่มเติม
เพื่อต่อยอดจากธุรกิจการกลั่นน้ำมัน โดยเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High-value
Products) 2. การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply
Chain Management) เพื่อสร้าง Platform สำหรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
รองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโครงการ CFP และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มไทยออยล์
3. การกระจายพอร์ตการลงทุนเพิ่มเติม (Earnings Diversification) ไปยังธุรกิจที่มีรายได้ที่มั่นคง
รวมถึงธุรกิจใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือธุรกิจใหม่เชิงนวัตกรรมที่สอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต
(New S Curve) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้พอร์ตการลงทุนและเพิ่มเสถียรภาพของกำไร
รองรับความผันผวนจากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี"
"ไทยออยล์ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
มาโดยตลอด ภายใต้แนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่ครอบคลุมการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม
(E : Environmental) ด้านสังคม (S : Social) และด้านบรรษัทภิบาล
(G : Governance) ในด้านสิ่งแวดล้อม
ได้มีการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางการดำเนินงาน
ตลอดจนการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
ภายใต้โครงการ "TOP CE WE GO" ที่ครอบคลุมตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ผ่านกระบวนการผลิตที่เป็นเลิศ
ได้แก่ การประยุกต์ใช้ 3Rs (Reduce Recycle Recover) ในกระบวนการผลิต
การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานผ่าน EII Master Plan และการตั้งเป้าหมายการฝังกลบของเสียเป็นศูนย์เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
สำหรับด้านสังคม ไทยออยล์ดูแลรับผิดชอบสังคมและชุมชนรอบโรงกลั่น
เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนและบรรเทาผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ส่งผลให้ดัชนีความผูกพัน (Community Engagement) ของชุมชนรอบโรงกลั่นอยู่ในระดับสูง
สำหรับด้านบรรษัทภิบาล บริษัทฯ ได้กำกับดูแลกิจการอย่างโปร่งใส่ เป็นธรรม
และน่าเชื่อถือ โดยนำระบบการบริหารจัดการเชิงบูรณาการด้านกำกับดูแลกิจการที่ดี
การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายในและการปฏิบัติตามกฎหมาย หรือ GRC
(Governance, Risk & Compliance) มาประยุกต์ใช้เพื่อไม่ให้มีการดำเนินการที่ฝ่าฝืนกฎหมายและกฎระเบียบของบริษัทฯ
และเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการทำงานให้สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วทั้งองค์กร
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้
ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาองค์กรสู่ความสำเร็จในระยะยาว" นายวิรัตน์กล่าว