นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มี พล.อ. ประยุทธ์
จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม
ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบตามมติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)
ครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 21
ธันวาคม 2563 ในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์โซลาร์ภาคประชาชน แบ่งเป็นการดำเนินการ
2 ส่วน ดังนี้
1. ปรับเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากกลุ่มบ้านผู้อยู่อาศัย
(โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ภาคประชาชน) ที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเป็น 2.20
บาท/หน่วย จากเดิมรับซื้อในราคาไม่เกิน 1.68
บาท/หน่วย เป้าหมายการรับซื้อ 50 เมกะวัตต์ ระยะเวลารับซื้อ
10 ปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม
2564 ทั้งนี้
ให้ครอบคลุมทั้งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการใหม่และที่ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว
ซึ่งการปรับเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าให้ผลตอบแทนดีขึ้น สามารถคืนทุนภายใน 8 -
9 ปี เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลงทุนและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัย
2. ขยายผลการดำเนินโครงการฯ
ไปยังกลุ่มโรงเรียนสถานศึกษา โรงพยาบาล และสูบน้ำเพื่อการเกษตร (โครงการนำร่อง)
โดยกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ ในอัตรา 1.00
บาท/หน่วย แบ่งเป็นกลุ่มโรงเรียน สถานศึกษา 20
เมกะวัตต์ กลุ่มโรงพยาบาล 20 เมกะวัตต์ และแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร
10 เมกะวัตต์
หน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการฯ
ได้จะต้องมีกำลังผลิตติดตั้งมากกว่า 10 กิโลวัตต์ แต่น้อยกว่า
200 กิโลวัตต์ ระยะเวลารับซื้อ
10 ปี
เพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าและศักยภาพพื้นที่
สำหรับติดตั้งระบบโดยเฉลี่ย และส่งเสริมระบบผลิตไฟฟ้าแบบกระจาย
ในกรณีการลงทุนโดยภาครัฐในส่วนของกลุ่มโรงเรียนและโรงพยาบาล
มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน
โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานรับไปหารือกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พิจารณาปรับปรุงกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้
คาดว่าโครงการพลังงานแสงอาทิตย์โซลาร์ภาคประชาชนและโครงการนำร่องในกลุ่มโรงเรียนและโรงพยาบาล
จำนวน 100 เมกะวัตต์ จะสามารถสร้างการลงทุนได้กว่า 3,000
ล้านบาท
กระทรวงพลังงานและหน่วยงานในสังกัด
ได้จัดทำแผนงาน/โครงการของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน ประจำปี 2564
และการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลงานของหน่วยงานและของรัฐบาล ดังนี้ กำหนดตรึงราคาน้ำมัน
โดยบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ระหว่างวันที่ 26
ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 3
มกราคม 2564 เพื่อลดค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทางช่วงปีใหม่
รวมมูลค่าประมาณ 150 ล้านบาท
,การขยายระยะเวลาการคงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น LPG
ซึ่งไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
กำหนดราคาที่ 14.3758 บาทต่อกิโลกรัม
มีกรอบเป้าหมายให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ 318 บาทต่อถัง 15
กิโลกรัม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31
มีนาคม 2564 รวมมูลค่า 1,890
ล้านบาท ,การปรับลดอัตราค่า Ft (ค่าไฟฟ้าผันแปร)
โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.)จากเดิม -12.43
สตางค์ เป็น -15.32 สตางค์ ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าลดลง 2.89
สตางค์ ในระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 30
เมษายน 2564 จะทำให้สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้เดือนละประมาณ
400 ล้านบาท รวมมูลค่า 1,600
ล้านบาท
และการขยายเวลายกเว้นการเก็บอัตราค่าไฟฟ้าต่ำสุด
(Minimum Charge) สกพ. ให้ผู้ประกอบการ กิจการขนาดกลาง ขนาดใหญ่
กิจการเฉพาะอย่าง องค์กรไม่แสวงหากำไร และการสูบน้ำเพื่อการเกษตร ออกไปอีก 3
เดือน ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31
มีนาคม 2564 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการจากผลกระทบ COVID-19
จะสามารถบรรเทาผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 3 – 7
ได้ประมาณ 50 ล้านบาทต่อเดือน รวมมูลค่า 150
ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีการมอบคูปองส่วนลดสำหรับซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์
5 โครงการช้อปหารสอง โดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
(กฟผ.) แจกคูปองส่วนลดสำหรับซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5
ติดดาว จำนวน 25,000 สิทธิ์ และคูปองส่วนลดสำหรับซื้อสินค้าชุมชน
กฟผ. จำนวน 17,000 สิทธิ์ สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 28
ธันวาคม 2563 และใช้สิทธิ์ได้ระหว่างวันที่ 1
มกราคม ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
รวมมูลค่า 15.8 ล้านบาท
รวมทั้งการมอบคูปองส่วนลดสำหรับที่พักที่เขื่อน
กฟผ. โครงการเที่ยวหารสอง โดย กฟผ. แจกคูปองส่วนลดครึ่งราคาที่พักเขื่อน กฟผ.
จำนวน 10,000 สิทธิ์ สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 29
ธันวาคม 2563 และใช้สิทธิ์ได้ระหว่างวันที่ 1
มกราคม ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564
รวมมูลค่า 23 ล้านบาท และด้วยในสถานการณ์
Covid-19 ที่ระบาดรอบใหม่ที่เกิดขึ้นอยู่ในช่วงนี้
กระทรวงพลังงานมีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชน จึงได้ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น
โดยการร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท
ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
และสมาคมเอทานอล
จัดหาแอลกอฮอล์ในการทำความสะอาดเพื่อบรรเทาผลกระทบเบื้องต้นของเชื้อ Covid-19
และจะช่วยเหลือดูแลในส่วนที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมต่อไป