นายทิโมธี อลัน พอตเตอร์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด
(มหาชน) (SPRC) เผยผลดำเนินงานและผลประกอบการทางด้านการเงินไตรมาสที่ 4/2563 และของทั้งปี 2563
ในไตรมาสที่ 4/2563 บริษัทฯ
มีกำไรสุทธิ 29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (862 ล้านบาท)
เปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 3/2563 ซึ่งมีผลกำไรสุทธิ 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
(268 ล้านบาท)
ค่าการกลั่นตลาดของบริษัทฯ
เพิ่มขึ้นจาก 1.53 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาสที่ 3/2563 เป็น 3.88 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ในไตรมาสที่ 4/2563 เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการเลือกใช้น้ำมันดิบที่เหมาะสมและการปรับสัดส่วนการผลิตให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงได้รับแรงกดดันจากส่วนต่างของราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ต่ำ
และความต้องการการบริโภคน้ำมันจากทั่วโลกที่ลดลง ซึ่งทำให้บริษัทฯ
ต้องปรับลดกำลังการผลิตไปยังจุดที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดอย่างเหมาะสมที่สุด
ภาพรวมปี 2563 บริษัทฯ
ขาดทุนสุทธิรวม 187 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (6,005 ล้านบาท)
เมื่อเทียบกับปี 2562 ขาดทุนสุทธิรวม 94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
(2,809 ล้านบาท) โดยมีปัจจัยหลักจากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมากในไตรมาสแรก
ส่งผลให้เกิดค่าการกลั่นทางบัญชีติดลบขาดทุนจากราคาสต๊อกน้ำมันรวมถึงค่าการกลั่นตลาดลดลงอยู่ที่ 2.79 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ซึ่งเป็นไปตามความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยสถานการณ์ต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้น บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญในการทำงานโดยปราศจากอุบัติการณ์
การบาดเจ็บและการติดเชื้อ (incident, injury and infection free) ทั้งยังเพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการกระแสเงินสดผ่านการจัดการสินค้าคงเหลือ
การลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน การลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน
การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต
พร้อมกับให้ความสำคัญด้านความเชื่อถือได้ของโรงกลั่นน้ำมัน
ในวันเดียวกัน
ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2564 มีมติให้งดจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดการดำเนินงาน
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึง
วันที่ 31 ธันวาคม 2563 เนื่องจากการขาดทุนสุทธิ
"ในปี 2563 ครอบครัว SPRC ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัยโดยไม่มีการบาดเจ็บถึงขั้นหยุดงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลามากกว่า 7 ปี
อีกทั้งไม่มีพนักงานหรือผู้รับเหมาติดเชื้อโควิด-19
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งดำเนินการเพิ่มศักยภาพในกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ
รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างความคุ้มค่าสูงสุด ทำให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มกระแสเงินสดได้มากถึง 83.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
และในปี 2564 เรายังคงมุ่งเน้นการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและโครงการเพิ่มกระแสเงินสดรวมถึงการเดินหน้าศึกษาโอกาสการลงทุนในอนาคตอย่างต่อเนื่อง"