นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์
กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี
ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี
2563 โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core
Profit) เท่ากับ 1,239
ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล
BKR2 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 465
เมกะวัตต์ ที่ประเทศเยอรมนี ในไตรมาส 4 ปี 2563
เป็นไตรมาสแรก หลังจากที่ GULF ได้เข้าซื้อหุ้น 50%
ในเดือน กันยายน 2563
นอกจากนี้ยังได้รับอานิสงส์จากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลกัลฟ์ จะนะ กรีน (GCG) กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง
25 เมกะวัตต์
ซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือน มีนาคม 2563
ในปี 2563 GULF มีรายได้รวม
(Total Revenue) เท่ากับ 35,833
ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปี 2562
และมี Core Profit เท่ากับ 4,478
ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จาก 3,509
ล้านบาทในปีก่อน โดยปัจจัยหลักคือการรับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2
กำไรของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG และรับรู้กำไรเต็มปีของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม
จำนวน 119 เมกะวัตต์
ประกอบกับต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลงจาก 272.90
บาท / ล้านบีทียู ในปี 2562 เป็น 244.51
บาท / ล้านบีทียู ในปี 2563 ในขณะที่ ค่า Ft เฉลี่ยลดลงในอัตราที่น้อยกว่า
จาก (0.1160) บาท / กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2562
เป็น (0.1188) บาท / กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2563
ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) สูงขึ้น
จาก 23.9% ในปี 2652
เป็น 27.6% ในปี 2563
ทั้งนี้กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP 7
โรงภายใต้กลุ่ม GJP ยังมีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. เพิ่มขึ้น
เนื่องจากในปี 2562 มีการหยุดซ่อมบำรุงหลัก (Major
Overhaul) ของโรงไฟฟ้า SPP จำนวน
6 โครงการ ในขณะที่ปี 2563
มีโรงไฟฟ้า SPP หยุดซ่อมบำรุงหลักเพียง 1
โครงการ ในส่วนของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP 12 โรงภายใต้กลุ่ม GMP มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้
กฟผ. เพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากปี 2563 เป็นปีแรกที่โครงการ 12 SPPs ทั้งหมดภายใต้กลุ่ม
GMP ขายไฟฟ้าครบเต็มปีหลังจากทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี
2560-2562 อย่างไรก็ตาม กลุ่ม GJP และ
GMP มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมลดลงเล็กน้อยในปี
2563 เมื่อเทียบกับปี 2562
เนื่องจากลูกค้าบางส่วนได้รับผลกระทบจาก COVID-19
เช่นกลุ่มยานยนต์ และกลุ่มสิ่งทอ ในขณะที่ลูกค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
และกลุ่มบรรจุภัณฑ์มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในช่วงดังกล่าว จึงทำให้บริษัทฯ
ได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจาก COVID-19
ซึ่งปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมกลับมาฟื้นตัวสู่ระดับปกติแล้วในช่วงปลายปี
2563 ปัจจุบัน บริษัทฯ ขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ในสัดส่วน 88%
และขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมเพียง 12%
นอกจากนี้ กำไรในปี 2563 ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการที่บริษัทฯ
ได้รับเงินปันผลจากการลงทุนใน INTUCH จำนวน 295
ล้านบาท และ SPCG จำนวน 142
ล้านบาท
ในส่วนของกำไรสุทธิ (Net
Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่สำหรับปี 2563
เท่ากับ 4,282 ล้านบาท ลดลง 12.4%
จากปีก่อน เนื่องจากรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น
ซึ่งเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี
และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของบริษัทฯ แต่อย่างใด
ณ วันที่ 31
ธันวาคม 2563 บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
(Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.47
เท่า เมื่อเทียบกับข้อกำหนดสิทธิสำหรับหุ้นกู้ (Bond Covenant) ที่
3.50 เท่า เนื่องจากในเดือนกันยายน 2563
บริษัทฯ ได้มีการเพิ่มทุน จำนวน 32,000 ล้านบาท โดยเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น
(Rights Offering) ซึ่งทำให้บริษัทฯ
มีศักยภาพในการขยายการลงทุนในอนาคตได้มากกว่า 100,000
ล้านบาท
สำหรับรายได้ของปี 2564
คาดว่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 50% จากปี 2563
เนื่องมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า IPP 2,650
เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการ GSRC หน่วยที่ 1
และ 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,325
เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือนมีนาคมและตุลาคม 2564 อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเวียดนาม
(Mekong Wind) ระยะที่ 1-3
มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 128 เมกะวัตต์ จะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือน
พฤษภาคม และตุลาคม 2564 และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศโอมาน
จำนวน 326 เมกะวัตต์ (DIPWP) ระยะที่
1 ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 40
เมกะวัตต์ จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2
ปีนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะทำให้ GULF มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งเพิ่มขึ้น
จาก 6,409 เมกะวัตต์ ในปี 2653
เป็น 7,903 เมกะวัตต์ ในปี 2564
นอกจากนี้ ในปี 2564 บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้กำไรเต็มปีจากโครงการโรงไฟฟ้าลมในทะเล
BKR2 และโครงการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ PTT NGD
ที่บริษัทฯ ได้เข้าซื้อในสัดส่วน 40%
ในเดือน ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา
ประกอบกับรับรู้เงินปันผลที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในหุ้น INTUCH อีกด้วย
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ
ยังได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564
เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประจำปี
สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563
ในอัตราหุ้นละ 0.38 บาท
หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ เท่ากับ 88%
โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่
8 มีนาคม 2564
และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 เมษายน 2564
ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 5
มีนาคม 2564 และกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564
ในวันที่ 9 เมษายน 2564