นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร
ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า กฟผ.ร่วมกับ 5 หน่วยงาน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
(MOU) ด้านงานวิจัยการพัฒนาระบบสัญญาและสาธิตการซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบโรงไฟฟ้าเสมือนในประเทศไทย
เพื่อสร้างเสถียรภาพให้แก่โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
เพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศ
สอดรับกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มมากขึ้น
และเพื่อพัฒนารูปแบบธุรกิจพลังงานรูปแบบใหม่ของประเทศ โดยเป็นรวมร่วมมือระหว่าง
กฟผ. กับ 5 หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ,บริษัท
เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด ,บริษัท
สยามอุตสาหกรรมวัสดุทนไฟ จำกัด ,บริษัท มิตรผลไบโอ-เพาเวอร์ จำกัด และ บริษัท
หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด
กฟผ.
ได้ศึกษาการบริหารจัดการหน่วยผลิตไฟฟ้าในรูปแบบ ‘โรงไฟฟ้าเสมือน
(Virtual Power Plant หรือ VPP)’ เพื่อลดข้อจำกัดของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ขาดเสถียรภาพ
โดยเทคโนโลยี ‘โรงไฟฟ้าเสมือน’ เปรียบเสมือนศูนย์ควบคุมที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนประเภทต่าง
ๆ เข้าไว้ด้วยกัน
และพิจารณาสั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าในแต่ละประเภทให้ผลิตไฟฟ้าได้อย่างเหมาะสม
เพื่อให้ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในระบบเกิดเสถียรภาพเสมือนเป็นโรงไฟฟ้าหลักที่สามารถเสริมความมั่นคงให้แก่ระบบไฟฟ้าของประเทศได้
นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อยสามารถเข้าแข่งขันในธุรกิจผลิตไฟฟ้าได้ทัดเทียมกับผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่
นำเอาความได้เปรียบของคุณลักษณะเฉพาะของโรงไฟฟ้ามาเติมเต็มระบบการผลิตไฟฟ้าของประเทศ
ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศได้ใช้ไฟฟ้าที่มีต้นทุนที่เหมาะสม
รวมถึงสอดรับกับนโยบายภาครัฐ
ในการสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น
เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีระยะเวลาวิจัยตั้งแต่ปี 2563 – 2567
แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ออกแบบโมเดลโรงไฟฟ้าเสมือน
และคัดเลือกโรงไฟฟ้าที่จะเข้าร่วมโครงการนำร่อง ระยะที่ 2
พัฒนาระบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และทดสอบระบบการสั่งการโรงไฟฟ้า และระยะที่ 3
ทดลองระบบการควบคุมหน่วยการผลิต และการซื้อขายไฟฟ้าในพื้นที่เป้าหมาย
โดยใช้โรงไฟฟ้าของ กฟผ. เป็นโรงไฟฟ้าหลัก คาดว่าภายในปี 2573
จะมีรูปแบบธุรกิจโรงไฟฟ้าเสมือนที่มีกำลังการผลิตรวมมากกว่า 400 MW เกิดขึ้น
เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับประเทศไทยต่อไป
รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย
อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า โรงไฟฟ้าเสมือนเป็นเทคโนโลยีที่สร้างความพลิกผันด้านพลังงาน
คล้ายกับ UBER ที่สามารถบริการรับส่งผู้โดยสารได้ผ่านแพลตฟอร์ม
โดยไม่ต้องมีรถแท็กซี่
เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าเสมือนที่สามารถดำเนินการซื้อขายไฟฟ้าได้โดยผ่านแพลตฟอร์ม การวิจัยในครั้งนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการศึกษาหาเทคโนโลยี
รูปแบบธุรกิจ และการกำกับดูแลที่เหมาะสมกับประเทศไทย
นายเฉลิม ปุณณะนิธิ EIS
Director บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด กล่าวว่า
ในอนาคตพลังงานหมุนเวียนมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม
และพลังงานชีวมวล โดยมีรูปแบบลักษณะกระจายตัว
เทคโนโลยีโรงไฟฟ้าเสมือนจะทำให้การบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้ามีเสถียรภาพมากขึ้น
และจะสามารถแก้ปัญหาพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มมากขึ้นในระบบได้
นายกฤษฎา มนเทียรวิเชียรฉาย
รองประธานกรรมการบริหารบริษัท มิตรผลไบโอ-เพาเวอร์ จำกัด และบริษัท มิตรผลไบโอ-เพาเวอร์
(ภูหลวง) จำกัด กล่าวว่า การวิจัยโรงไฟฟ้าเสมือนเป็นประโยชน์ทั้งในระดับประเทศ คือ
สร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า
ช่วยลดปริมาณไฟฟ้าสำรองที่เกิดจากผลิตไฟฟ้าโดยผู้ใช้ไฟฟ้า
และสามารถพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าได้อย่างแม่นยำ ด้วยการนำเทคโนโลยี Internet
of Things มาวิเคราะห์การเข้าถึงพลังงานไฟฟ้าจากผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้า
และในระดับองค์กร การวิจัยนี้เป็นประโยชน์ในการศึกษา พัฒนา
และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เพื่อให้โครงการสำเร็จลุล่วง
และสามารถพัฒนาใช้งานได้ในเชิงพาณิชย์ต่อไป
นายเฉิน กั๋วตง ประธานกรรมการฝ่ายธุรกิจเอนเตอร์ไพรส์
บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โรงไฟฟ้าเสมือน
นับเป็นการขับเคลื่อนในภาคพลังงาน ซึ่งในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ
เช่น 5G บล็อกเชน
และบริการคลาวด์ไปใช้กับโรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่อย่างกระจายตัว โดยมีโรงไฟฟ้าเสมือนทำหน้าที่บริหารจัดการไฟฟ้า
และการซื้อขายไฟฟ้าในระบบพลังงาน การพัฒนาเทคโนโลยี โรงไฟฟ้าเสมือน
ก่อให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ และจะช่วยดึงดูดผู้ผลิตไฟฟ้าใหม่เข้ามาในตลาด
และทำให้อุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าเกิดการเติบโต