นายบัณฑิต สะเพียรชัย
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานไตรมาสที่
1/2564 มีกำไรจากการดำเนินงานปกติประมาณ 489 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสที่ 1/2563
ร้อยละ 21.1 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่
1,047 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2563 ร้อยละ 18.1 และ EBITDA
รวมอยู่ที่ 948 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 15.0 สาเหตุหลักมาจากปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากโครงการเดิมที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น
ประกอบกับปริมาณการผลิตไฟฟ้าของโครงการใหม่เข้ามาช่วยเสริม
ขณะที่รายได้รวมจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2563 ร้อยละ 18.1
ในไตรมาสที่ 1/2564 มีการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากโครงการใหม่
ได้แก่
1) โรงไฟฟ้าพลังน้ำ "Nam San 3B"
ใน สปป.ลาว ที่เข้าซื้อในเดือน กุมภาพันธ์ 2563
2)
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยกำลังการผลิตรวม 20 เมกกะวัตต์ จำนวน 4
โครงการ ที่ เข้าซื้อในเดือน สิงหาคม 2563
รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยและญี่ปุ่น
และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ"Nam San 3A" สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มมากขึ้นจากค่าความเข้มแสง
และจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น ที่ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว ตามลำดับ
ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทฯ
มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 51,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 0.6 จากสิ้นปี
2563 จากการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนในบริษัทร่วม และทรัพย์สินไม่มีตัวตน
เนื่องจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม และทรัพย์สินไม่มีตัวตน ซึ่งบางส่วนอิงสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ
มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากการแข็งค่าของเงินสกุลต่างประเทศเทียบกับสกุลเงินบาท
ในระหว่างไตรมาสที่ 1/2564
ผลงานไตรมาสแรกถือเป็นการเริ่มต้นปีที่ดีสำหรับบีซีพีจี
สำหรับในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ
ยังคงขยายธุรกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่องด้วยการร่วมลงทุน กับบริษัทสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ
ในการพัฒนาดิจิทัลโซลูชั่น (Digital Solution) ใหม่ๆ
เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่มากขึ้น และสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ
ให้ไปสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำในการให้บริการโซลูชั่นด้านพลังงานอัจฉริยะได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
บริษัทฯ ได้มีการต่อยอดเทคโนโลยีใหม่ๆ และขยายฐานการลงทุนไปยังประเทศต่างๆ
ทั่วภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง สร้างเสียรภาพของรายได้
และความสมดุลของประเภทโรงไฟฟ้า ล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรจาก "ทริส
เรทติ้ง" ที่ระดับ A- ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต
"Stable" หรือ คงที่
ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงรายได้ที่แน่นอนจากสินทรัพย์โรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทฯ
และสัดส่วนการลงทุนที่มีการกระจายตัวของแหล่งพลังงานที่หลากหลาย
นอกจากนี้ยังรวมถึงการสร้างรายได้จากโครงการใหม่เพื่อชดเชยรายได้จาก Adder ที่ทยอยลดลง
และยังมีโครงการในมือที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นจำนวนมาก
ซึ่งการได้รับเครดิตดังกล่าวจะส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ
มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้แหล่งใหม่
ที่จะเข้ามาช่วยเสริมความพร้อมการลงทุนในอนาคต