การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) วันนี้ (14 พ.ค. 64) ที่มี
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ได้พิจารณาเห็นว่า
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ดังนั้น
เพื่อลดกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน กบง. จึงได้เห็นชอบ
มาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าจากการระบาดของไวรัสโควิด – 19
ในระลอกเดือนเมษายน 2564
ให้เป็นไปอย่างครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็กทั่วประเทศ
ให้ได้รับการช่วยเหลือตามหลักการเดียวกันกับมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5
พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้พิจารณาประเด็นสำคัญ ดังนี้
ที่ประชุม กบง. เห็นชอบ
มาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าจากการระบาดของไวรัสโควิด– 19
ในระลอกเดือนเมษายน 2564 ตามที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เสนอ
เพื่อเป็นไปอย่างครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็กทั่วประเทศ
ให้ได้รับการช่วยเหลือตามหลักการเดียวกันกับมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5
พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยให้ครอบคลุมลูกค้ารายย่อยของ กฟผ.
และผู้ใช้ไฟฟ้าของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการกองทัพเรือเพิ่มเติม
เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศ อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เป็นระยะเวลา 2 เดือน (เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน
2564) วงเงินประมาณ 15.04 ล้านบาท ทั้งนี้
ส่วนลดดังกล่าวจะทำให้เงินเรียกคืนฐานะการเงินจากการไฟฟ้าซึ่งมีรายได้มากกว่าที่ควรได้รับในปี
2564 มีจำนวนลดลง
กบง. รับทราบ มาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานไฟฟ้าสำหรับประชาชน
สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าของ กฟน. และ กฟภ. ตามหลักการที่ ครม. ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่
5 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา เป็นระยะเวลา 2 เดือน (เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน
2564) ในวงเงินประมาณ 8,755 ล้านบาท อีกทั้งยังรับทราบแนวทางของ กกพ.
ในการยกเว้นการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ (Minimum Charge) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท
3-7 โดยให้ผู้ใช้ไฟฟ้าจ่ายค่าไฟฟ้าตามจริง เป็นระยะเวลา 2 เดือน (เดือนพฤษภาคม –
มิถุนายน 2564) โดยให้ กกพ.
พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
นอกจากนี้ กบง. รับทราบ แนวทางการบริหารจัดการกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve
Margin) ของประเทศ ตามข้อเสนอของ
คณะทำงานบริหารจัดการกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศ และได้มอบหมายให้
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
(สำนักงาน กกพ.) และ กฟผ. ร่วมกันพิจารณาทบทวนสมมติฐานการกำหนดค่ากำลังผลิตพึ่งได้
(Dependable Capacity) ของโรงไฟฟ้าของ กฟผ. และพิจารณาทบทวนเกณฑ์ Reserve
Margin โดยพิจารณาจากโอกาสเกิดไฟฟ้าดับที่เหมาะสมในภาพรวมทั้งประเทศและแยกตามรายพื้นที่
และมอบหมายให้ สำนักงาน กกพ.
พิจารณาออกแบบสัญญาในการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนให้เหมาะสมกับโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทและการรับซื้อไฟฟ้าจริงของระบบ
รวมถึง
ปรับปรุงกฎระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้มีความเหมาะสมและยืดหยุ่น
สอดคล้องกับเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ สนพ.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP)
ฉบับใหม่ โดยให้คำนึงถึงการวางแผนจัดหาโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้ารายภูมิภาค
การกำหนดแนวทางการบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าในช่วงความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด (Peak)
ให้กระจายออกไปในช่วงอื่น ๆ ของวัน เพื่อลดการจัดหา/สร้างโรงไฟฟ้า
การวางแผนและดำเนินการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้สามารถรองรับพลังงานทดแทนที่จะเข้ามาในระบบไฟฟ้ามากขึ้นในอนาคต
เป็นต้น
อีกทั้ง กบง. ยังได้มีมติเห็นชอบ
ร่างกฎกระทรวงเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง
และวัสดุอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 5 ฉบับ (5 ผลิตภัณฑ์) ได้แก่ 1.
ร่างกฎกระทรวงกำหนดปั๊มความร้อนแบบดึงความร้อนจากอากาศถ่ายเทให้แก่น้ำที่มีประสิทธิภาพสูง
พ.ศ. .... 2.ร่างกฎกระทรวงกำหนดฟิล์มติดกระจกเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ....
3.ร่างกฎกระทรวงกำหนดฉนวนอุตสาหกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. .... 4.ร่างกฎกระทรวงกำหนดเตารังสีอินฟราเรดที่มีประสิทธิภาพสูง
พ.ศ. .... และ
5.ร่างกฎกระทรวงกำหนดพัดลมอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. ....
โดยร่างกฎกระทรวงฯ ข้างต้น
จะเป็นมาตรฐานอ้างอิงสำหรับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเครื่องจักร วัสดุและอุปกรณ์
จะมีสิทธิได้รับการส่งเสริมมาตรการการติดฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง
ซึ่งจะนำเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป