นางสมฤดี ชัยมงคล
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา
บ้านปูยังคงเร่งสร้างการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจ (Banpu Transformation) อย่างต่อเนื่องภายใต้กลยุทธ์
Greener & Smarter โดยประสบความสำเร็จในการลงทุนเพื่อขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานที่สะอาดมากขึ้น
รวมทั้งยังสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ทันที
ขณะเดียวกันยังศึกษาความเป็นไปได้ในธุรกิจเหมือง Green Tech Minerals ทั้งในออสเตรเลียและอินโดนีเซีย
เพื่อส่งเสริมและต่อยอดของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน
รวมทั้งยังศึกษาการลงทุนในโรงไฟฟ้าเสมือน (Virtual Power Plant) และ
Data Center ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตสูงและสามารถเสริมระบบนิเวศทางธุรกิจของกลุ่มบ้านปู
หรือ Banpu Ecosystem ให้ครบวงจรยิ่งขึ้น"
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ทั้ง 3
ธุรกิจหลักของบริษัทฯ มีผลประกอบการที่ดี สร้างกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง
โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม
582 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 17,948 ล้านบาท)
ด้านกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน (Energy
Resources) ธุรกิจเหมือง
มีผลประกอบการที่ดีจากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับตัวดีขึ้นสอดคล้องกับแนวโน้มราคาถ่านหินในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้พลังงานจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในหลาย ๆ ประเทศ
ในขณะที่ผู้ผลิตถ่านหินรายใหญ่หลายรายเผชิญความท้าทายในการผลิตถ่านหินออกสู่ตลาด
โดยธุรกิจเหมืองมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ในครึ่งปีแรก
331 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 10,228 ล้านบาท)
ด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ มีราคาขายเฉลี่ยสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น
เป็นผลจากความต้องการที่สูงขึ้นจากภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วในภูมิภาคอเมริกาเหนือ
ประกอบกับการเริ่มฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมจากช่วงปีที่ผ่านมา
โดยธุรกิจก๊าซธรรมชาติมี EBITDA ครึ่งปีแรก 178 ล้านเหรียญสหรัฐ
(ประมาณ 5,463 ล้านบาท)
ในส่วนของกลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน (Energy
Generation) ยังคงสามารถสร้างรายได้ที่ดีสม่ำเสมอ
โดยเฉพาะจากโรงไฟฟ้าเอชพีซีใน สปป.ลาว
ที่สามารถผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าด้วยค่าความพร้อมจ่าย หรือ EAF ที่สูงขึ้น ด้านโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี จังหวัดระยอง
มีการปิดซ่อมบำรุงเพื่อซ่อมแซมเหตุท่อรั่ว (tube leak) อย่างไรก็ตาม
ยังสามารถรักษาระดับ EAF ได้สูง ส่วนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Combined
Heat and Power: CHP) ในจีนมีผลกำไรลดลงจากความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำที่ชะลอตัวลงจากลูกค้าบางกลุ่ม
และผลกระทบจากต้นทุนถ่านหินในประเทศที่อยู่ในระดับสูง ในขณะที่โรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง
(Shanxi Lu Guang: SLG) ในจีนกำลังเตรียมความพร้อมในการเปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาส
3
ด้านธุรกิจพลังงานหมุนเวียน
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในจีน มีรายได้เพิ่มขึ้น
เป็นผลมาจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยทำให้มีความเข้มของแสงที่สูงขึ้น
และมีอัตราความสามารถในการผลิตไฟฟ้า (Capacity Factor) สูงขึ้นเช่นเดียวกัน ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น
มีปริมาณการผลิตไฟฟ้าและ Capacity Factor เพิ่มขึ้นเช่นกัน ในขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Vinh
Chau ระยะที่ 1 ในเวียดนาม
มีรายงานความคืบหน้าในการก่อสร้างที่ร้อยละ 68
และคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4 ของปีนี้ ทั้งนี้ ในครึ่งปีแรกบริษัทฯ มี EBITDA 77
ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,370 ล้านบาท)
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี บริษัทฯ
ประสบความสำเร็จในการต่อยอดกลยุทธ์ Greener & Smarter จากการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าใหม่อย่างต่อเนื่อง
ได้แก่ โรงไฟฟ้า Nakoso IGCC ในญี่ปุ่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Beryl
และ Manildra ในออสเตรเลีย
และล่าสุดได้เข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ CCGT "Temple I" ในรัฐเท็กซัส
สหรัฐอเมริกา
ถือเป็นการก้าวสู่ตลาดซื้อขายไฟฟ้าที่เปิดเสรีและมีความก้าวหน้าอย่างมาก
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน (Energy
Technology) ยังคงเร่งเดินหน้าสร้างความเติบโต
โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณท์และบริการเพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจของกลุ่มบ้านปู
(Banpu Ecosystem) ให้แข็งแกร่ง โครงการที่สำคัญ ได้แก่
การก่อสร้างโครงการโซลาร์ลอยน้ำขนาด 16 เมกะวัตต์ ที่นิคมหลักชัยเมืองยาง
คืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 60 ในขณะที่ธุรกิจติดตั้งโซลาร์บนหลังคา
ขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มธุรกิจขนาดกลางมากขึ้น นอกจากนี้
ธุรกิจซื้อขายไฟฟ้าในญี่ปุ่นทำสัญญาระยะเวลา 1 ปี เพิ่มเติมกว่า 10 ฉบับ
จากลูกค้ารายใหม่จำนวน 6 ราย ประกอบด้วย โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย และสถาบันแห่งชาติต่าง
ๆ คิดเป็นปริมาณผลิตไฟฟ้า 111 กิกะวัตต์ชั่วโมง
ล่าสุดจากการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่
1/2564 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา
ที่ประชุมมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทฯ จำนวน 5,074,581,513 บาท
จากเดิม 5,074,581,515 บาท เป็นจำนวน 10,149,163,028 บาท ในมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ
1 บาท
โดยวัตถุประสงค์ในครั้งนี้เพื่อสร้างความเติบโตและความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจและระบบนิเวศทางธุรกิจของกลุ่มบ้านปู
โดยเฉพาะการลงทุนในพลังงานสะอาดมากขึ้น พร้อมส่งมอบอนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน (Smarter
Energy for Sustainability)
"บ้านปูยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามหลัก
ESG (Environmental, Social and Governance) โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี มาตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ทศวรรษ
โดยยึดหลักความรับผิดชอบต่อคู่ค้า การสร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน
รวมถึงการสร้างผลประโยชน์อย่างยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มใน 10
ประเทศที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจ โดยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บ้านปูได้รับรางวัล
Asia’s Best SDG Reporting ระดับ Silver จาก
Asia Sustainability Reporting Awards 2020 และเมื่อเร็ว ๆ นี้
ยังได้รับการจัดอันดับจาก V.E ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้ Moody’s
ESG Solutions ให้เป็นหนึ่งใน 100
บริษัทในประเทศเศรษฐกิจใหม่ที่มีการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม
และบรรษัทภิบาล หรือ ESG ได้อย่างโดดเด่น สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของบ้านปูในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
ทำให้นักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียสามารถไว้วางใจได้ว่า
บ้านปูมีความสามารถในการสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเป้าหมายการมี EBITDA
จากธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงานในสัดส่วนมากกว่าร้อยละ
50 ภายในปี 2568" นางสมฤดี กล่าว