นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท บางจากฯ งวด 9
เดือนแรกของปี 2564 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อย
มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 132,655 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28
และมี EBITDA 16,537 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 1,121
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (จากการเปลี่ยนวิธีการบันทึกเงินลงทุนใน OKEA
จากบริษัทร่วมเป็นบริษัทย่อย)
รวมถึงได้รับปัจจัยหนุนด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของอุปสงค์น้ำมัน
หลังจากมีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
ทั่วโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 9 เดือนแรกของปี 2564
อยู่ที่ 66.36 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 24.91
เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หรือ ร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ มี Inventory Gain 5,159
ล้านบาท นอกจากนี้
ธุรกิจโรงกลั่นมีค่าการกลั่นพื้นฐานทรงตัวในทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น
และได้ปรับเพิ่มกำลังการกลั่นและเพิ่มสัดส่วนการผลิต UCO (Unconverted Oil)
อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยหนุนค่าการกลั่น
กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้ามีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้น
โดยหลักมาจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว
ธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในอินโดนีเซีย
และธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศไทย
ขณะที่ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจการตลาดและกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
ในประเทศที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้า
ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันปรับลดลงอย่างมาก
อีกทั้งค่าการตลาดรวมสุทธิยังอยู่ในระดับต่ำ จากการที่บริษัทฯ
ไม่สามารถปรับราคาขายปลีกหน้าสถานีบริการให้เหมาะสมกับต้นทุนน้ำมันสำเร็จรูปและราคาผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซล
(B100) ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามภาวะตลาด
นอกจากนี้
ผลการดำเนินงานได้รวมผลของการเปลี่ยนวิธีการบันทึกเงินลงทุนใน OKEA จากบริษัทร่วมเป็นบริษัทย่อย
ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564
โดย EBITDA ของ OKEA ที่รวมอยู่ในงบการเงินรวมมีจำนวนประมาณ
3,000 ล้านบาท
อีกทั้งมีผลจากการกลับรายการด้อยค่าเงินลงทุนใน OKEA 400
ล้านบาท และมีกำไรจากการปรับปรุงมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในบริษัท
อุบลไบโอเอทานอล จำกัด (มหาชน) (UBE) 616 ล้านบาท เนื่องจาก UBE เสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรก
(IPO) ส่งผลให้งวด 9
เดือนแรกของปี 2564 มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 5,868
ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 181 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 4.05 บาท
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี
2564 บริษัทฯ และบริษัทย่อย
มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 47,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9
และมี EBITDA 7,531 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 76
เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเปลี่ยนวิธีการบันทึกเงินลงทุนใน
OKEA และมี Inventory Gain 1,386
ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานได้รับผลกระทบจากกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันที่มีค่าการกลั่นพื้นฐานปรับลดลง
จาก Crude Premium อ้างอิงกับน้ำมันดิบเดทเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น
อีกทั้งกลุ่มธุรกิจการตลาดมีค่าการตลาดรวมสุทธิและปริมาณการจำหน่ายที่ปรับลดลง
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสาม
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ มีการบันทึกกำไรจากการปรับปรุงมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน
UBE ส่งผลให้ไตรมาสนี้มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่
1,820 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3
เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.25
บาท โดยมีผลการดำเนินงานในแต่ละกลุ่มธุรกิจเป็นดังนี้
1. กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน
• ผลการดำเนินงานปรับลดลงร้อยละ 4
เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 212
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ยังคงปรับเพิ่มขึ้นและค่าเงินบาทอ่อนค่า
ทำให้ในไตรมาสนี้ธุรกิจโรงกลั่นมี Inventory Gain 1,261
ล้านบาท
• ปรับเพิ่มสัดส่วนการผลิต UCO
(Unconverted Oil) เพื่อช่วยหนุนค่าการกลั่น
และรองรับความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
ส่งผลให้อัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยในไตรมาสนี้ ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 111,400
พันบาร์เรลต่อวัน หรือ คิดเป็นร้อยละ 93 ของกำลังการผลิตรวม
2. กลุ่มธุรกิจการตลาด
• ผลการดำเนินงานปรับลดลงร้อยละ 32
และ 27
เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน
จากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
ระลอกสาม
โดยมีส่วนแบ่งการตลาดด้านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการสะสมเดือนมกราคม -
กันยายน 2564 อยู่ที่ร้อยละ 16
เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 15.6
สามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดในอันดับ 2 (ข้อมูลกรมธุรกิจพลังงาน)
• ติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า
(EV Chargers) ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก 40
สถานี ให้บริการใน 27 จังหวัดทั่วประเทศ และมุ่งขยายธุรกิจ Non-Oil
โดย ณ สิ้นไตรมาส มีร้านกาแฟอินทนิล 739
สาขา และมีร้านชานมไข่มุก DAKASI 12 สาขาและพัฒนาธุรกิจ "บางจาก
Food Truck" ณ สิ้นไตรมาส มี 5
สาขา
3. กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า
โดยบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG
• ผลการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 18
และ 4
เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยหลักมาจากปริมาณจำหน่ายกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้น จาก สปป.ลาวที่ปรับเพิ่มขึ้น
และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 150
ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ในประเทศอินโดนีเซีย
• บริษัท Impact Energy Asia
Development Limited (IEAD) บริษัทร่วมของบีซีพีจีฯ
ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ Vietnam Electricity กำลังการผลิตตามสัญญา
600 เมกะวัตต์ ที่ชายแดน สปป.ลาว-เวียดนาม
อายุสัญญา 25 ปี
• ออกและเสนอขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
(Green Bond) มูลค่า 12,000
ล้านบาท ซึ่งเป็นการจัดหาเงินทุนผ่านตลาดตราสารหนี้เป็นครั้งแรก
4. กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ
โดยบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI
• ผลการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 201
และ 128% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน
จากการรับรู้กำไรจากการเปลี่ยนสถานะเงินลงทุนใน UBE จากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเป็นเงินลงทุนทั่วไป
เนื่องจาก UBE ได้ทำการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรก
• ธุรกิจไบโอดีเซล
ได้รับผลกระทบจากปริมาณการจำหน่าย B100 ที่ปรับลดลง แต่กำไรขั้นต้นใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน
ส่วนธุรกิจเอทานอล กำไรขั้นต้นปรับลดลงร้อยละ 48
และ 82
เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน
จากปริมาณการจำหน่ายเอทานอลที่ปรับลดลง
ในขณะที่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง (High Value
Products (HVP) ได้เริ่มจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ
สู่ผู้บริโภคโดยตรงภายใต้แบรนด์ B Nature Plus
• ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนรวมไม่เกิน
216.60 ล้านหุ้น คิดเป็น 30%
ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดในครั้งนี้
มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 5.00 บาท
5. กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ
• รับรู้กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท
BCP Energy International Pte. Ltd. (BCPE) 122
ล้านบาท
• มี EBITDA ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ
158 และ 622
เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน
เนื่องจากรายได้จากการขายน้ำมันดิบและก๊าซปรับเพิ่มขึ้น
• โครงการ YME เริ่มการผลิตในเดือนตุลาคม
2564
ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งด้านกำลังการผลิตและกระแสเงินสดให้กับ OKEA โดยในปีแรกจะเพิ่มกำลังการผลิตให้กับ
OKEA 5,600 บาร์เรลต่อวัน และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปี 2564
จะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 15,500 - 16,500 บาร์เรลต่อวัน
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
ที่เริ่มคลี่คลายลงจากการเร่งฉีดวัคซีน ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อทยอยปรับลดลง บริษัท
บางจากฯ ได้ปรับรูปแบบการทำงานเป็นแบบ Hybrid Workplace ให้พนักงานสามารถทำงานแบบผสมผสานกันระหว่างการปฏิบัติงานที่บ้านและสำนักงาน
เพื่อความกระชับ คล่องตัว ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
โดยยังคงให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยและสุขภาพของพนักงาน ลูกค้า จัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19
ทำให้มีพนักงานที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วในอัตราสูง
รวมทั้งจัดหาวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
และการพ่นฆ่าเชื้อที่สำนักงานเป็นประจำ จัดรถตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19
เคลื่อนที่ (Antigen test mobile unit) ให้กับพนักงานบางจากและในกลุ่มทุกสัปดาห์
รวมถึงพนักงานในสถานีบริการน้ำมันฯ
และร้านกาแฟอินทนิลเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคเมื่อเข้ามาใช้บริการ
พร้อมกันนี้
ยังได้มีการจัดทำแผนกลยุทธ์และปรับองค์กรเพื่อความยั่งยืน
บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้เพียงพอกับการดำเนินธุรกิจและแผนการลงทุน
และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ประสบความสำเร็จในการออกและเสนอขายหุ้นกู้มูลค่า 7,000
ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีความพร้อมและสามารถตั้งรับกับสถานการณ์โควิด-19
ได้ดีขึ้น พร้อมก้าวสู่องค์กร 100 ปี ที่แข็งแรงและมั่นคง