นายบัณฑิต สะเพียรชัย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ในไตรมาส 3/64 มีรายได้จากการดำเนินงานที่ 1,302
ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/64 ที่มีรายได้รวม 1,088
ล้านบาท และ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ที่มีรายได้รวม 1,238 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 709 ล้านบาท
เติบโตจากไตรมาสที่ 3/2563 และจากไตรมาสที่ 2/2564 ร้อยละ 10.3 และ ร้อยละ 40.7
ตามลำดับ
ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 9
เดือนของปี 2564 มีรายได้จากการดำเนินงานที่ 3,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 343 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม
3,094 ล้านบาท มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ 1,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 278
ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 19.5 เมื่อเทียบกับการดำเนินงานในงวด 9 เดือนปี 2563
ที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ 1,424 ล้านบาท
"ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3
ของกลุ่มบริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเข้าสู่ High Season ของฤดูกาลน้ำ
ส่งผลให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A และ
Nam San 3B ใน สปป. ลาว
ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นกว่าช่วงปกติ อีกทั้ง
ในช่วงดังกล่าว ทั้งในประเทศไทย และฟิลิปปินส์ เริ่มเข้าสู่ฤดูมรสุม ทำให้โรงไฟฟ้าพลังงานลมมีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อน
นอกจากนี้
ยังรวมถึงการได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่อินโดนีเซียเพิ่มขึ้น
จากอัตราค่าไฟที่สูงขึ้น และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง" นายบัณฑิตกล่าว
สำหรับในภาพรวมของปี 2564 บริษัทฯ
ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และสามารถดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ โดยล่าสุด
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชิบะ
ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์
และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำลังการผลิต
7.7 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ตามแผนเรียบร้อยแล้ว
โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ทันทีในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 และเต็มปีในปีหน้า (ปี 2565)
"ในปี 2565 บริษัทฯ
มีโครงการที่จะทยอยเปิดดำเนินการรวมกำลังการผลิตอีกกว่า 49 เมกะวัตต์ ได้แก่
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์โคมากาเนะ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยาบูกิ
ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์ และ 20 เมกะวัตต์ ตามลำดับ
โดยจะเปิดดำเนินการในช่วงครึ่งปีแรก
และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็จะเปิดดำเนินการได้เต็มโครงการที่กำลังการผลิตรวม
12 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี" นายบัณฑิตกล่าว