นางสมฤดี ชัยมงคล
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บ้านปู ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์
หรือ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ระดับโลกต่อเนื่องเป็นปีที่
8 ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานถ่านหินและพลังงานเพื่อการใช้งาน
(Coal and Consumable Fuels) อีกทั้งได้รับคะแนนประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนสูงสุด
พร้อมประสบความสำเร็จจากการได้คะแนนด้าน สิทธิมนุษยชน (Human Rights) การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Cybersecurity) และ
ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทฯ
พร้อมเดินหน้าส่งมอบ "อนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน (Smarter
Energy for Sustainability)"
"เรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับคัดเลือกให้ติดดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ต่อเนื่องมา
8 ปีแล้ว ความสำเร็จนี้คือความภาคภูมิใจขององค์กร
และประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
สะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจในช่วงเวลาแห่งความท้าทายภายใต้ภาวะวิกฤตโควิด-19 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
บ้านปูให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจใน 10 ประเทศทั่วโลก ภายใต้หลัก ESG เราพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ในการส่งมอบอนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน
(Smarter Energy for Sustainability) เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน
ควบคู่ไปกับการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้อย่างชาญฉลาด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากการร่วมแรง
ร่วมใจของผู้บริหารและพนักงานทุกคนที่ได้นำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงานในทุกภาคส่วนขององค์กรอย่างต่อเนื่อง"
ในปีนี้
บ้านปูมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านสิทธิมนุษยชน (Human
Rights) การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Cybersecurity) และ
ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) โดยการเพิ่มขึ้นของคะแนนในด้านสิทธิมนุษยชนเป็นผลจากการที่บ้านปูได้ทำการประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านด้วยตนเอง
(Human rights due diligence self-assessment) อีกทั้ง
บริษัทย่อยในออสเตรเลียได้สนับสนุนกฎหมายแรงงานทาสยุคใหม่ ปี 2561 (Modern
Slavery Act 2018) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม
2562 และประกาศ Modern Slavery Statement
ที่ประกอบด้วยแผนงานและผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นแรงงานทาสยุคใหม่เมื่อต้นปี
2564 ที่ผ่านมา
และตั้งเป้าที่จะเผยแพร่อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
ในด้าน Cybersecurity บ้านปูได้ประกาศนโยบายสารสนเทศที่ผนวกการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นส่วนหนึ่งในระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงขององค์กรภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการตรวจสอบ
อีกทั้งมีการฝึกซ้อมแผนกู้คืนระบบจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญ (Disaster Recovery
Plan: DRP) เช่น ข้อมูลการเงิน เป็นประจำทุกปี
โดยบริษัทได้รับการรับรอง ISO 27001 Information Security
Management และระบบการบริหารจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ ISO
22301
ส่วนด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity)
บ้านปูดำเนินธุรกิจตามนโยบายความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity
Policy) โดยมีระบบบริหารจัดการ 4 แนวทาง ได้แก่
การหลีกเลี่ยง การลดผลกระทบ การฟื้นฟู และการชดเชย
ซึ่งนโยบายดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิดของ IUCN (International Union for
Conservation of Nature)
ในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมา
บ้านปูได้ดำเนินการด้าน ESG ที่สำคัญคือการจัดตั้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม
สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (Environmental, Social and Governance: ESG) อย่างเป็นทางการ
พร้อมวางกรอบการดำเนินงานที่สอดคล้องกับทิศทาง ESG และการประเมินความเสี่ยงระยะสั้นและระยะยาวของโลก
โดยในด้านสิ่งแวดล้อม (E) : มุ่งเน้นการขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงาน
โดยได้วางเป้าหมายว่าภายในปี 2568 EBITDA มากกว่าร้อยละ 50
จะมาจากธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงาน ในด้านสังคม (S) : ดำเนินโครงการเพื่อสังคมต่าง
ๆ ทั้งการส่งเสริมการศึกษา
การช่วยเหลือสังคมและชุมชนในภาวะวิกฤตและในยามเกิดภัยพิบัติ
โดยนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย
บ้านปูได้ร่วมมือกับกลุ่มมิตรผลในการจัดตั้ง ‘กองทุนมิตรผล-บ้านปู
รวมใจช่วยไทยสู้ภัย COVID-19’ มูลค่ารวม
1,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
และด้านการกำกับดูแลกิจการ (G) : การดำเนินงานของทีมบริหารจัดการในสภาวะวิกฤต
(Incident Management Team: IMT) เพื่อให้การดำเนินธุรกิจในช่วงสถานการณ์โควิด-19
เป็นไปได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการดำเนินงานของหน่วยงาน Digital
Center of Excellence (DCOE) เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้พร้อมเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล
(Digital Transformation) ควบคู่ไปกับแนวคิด "Agile
Working" ที่เน้นความคล่องตัวและประสิทธิภาพการทำงานในทุกหน่วยธุรกิจ
ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ DJSI
จัดทำขึ้นด้วยความร่วมมือของ S&P Global และ
SAM ถือเป็นดัชนีที่ใช้ประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทชั้นนำระดับโลก
เพื่อให้มั่นใจว่า บริษัทมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพในทุกมิติ
ทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล รวมทั้งเป็นดัชนีที่กองทุนต่าง
ๆ จากทั่วโลกใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงในการพิจารณาการลงทุน โดยบริษัทที่ได้รับการรับรอง
DJSI จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืนให้แก่นักลงทุน
รวมถึงการสร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย