นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกสาระสำคัญของสัญญาร่วมทุนโครงการ LNG Map Ta
Phut Terminal 2 (LMPT2) ตำบลหนองแฟบ จังหวัดระยอง ระหว่าง
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยมี นายอรรถพล
ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด
(มหาชน) (ปตท.) และ นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร
ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้ลงนาม พร้อมด้วยนายกุลิศ
สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน นายอธิคม เติบศิริ
ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ ปตท.
นางราณี โฆษิตวานิช รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง กฟผ. และ นายวุฒิกร สติฐิต
รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ปตท. ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ
ห้องประชุม Auditorium ชั้น 2 อาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเปิดเผยว่า
ภาครัฐเล็งเห็นถึงโอกาสในการปรับรูปแบบการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการจัดหาและจัดส่งก๊าซธรรมชาติของประเทศ
จึงได้มอบหมายให้สองรัฐวิสาหกิจหลักของประเทศ ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ร่วมลงทุนในโครงการก่อสร้างคลังจัดเก็บและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG
Receiving Terminal แห่งที่ 2 หรือ LMPT2
ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองแฟบ จังหวัดระยอง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติของประเทศ
ตามแนวทางการเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย รองรับการนำเข้า LNG ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้
เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศในระยะยาว
และเสริมให้ประเทศไทยก้าวเป็นศูนย์กลางการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวในภูมิภาคอาเซียน
(LNG Regional Hub) ต่อไป
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
กล่าวว่า
ความร่วมมือครั้งนี้นับว่าเป็นความร่วมมือครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ระหว่างสองรัฐวิสาหกิจหลักของประเทศ
ที่มีพันธกิจในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน
ที่ได้รับมอบหมายให้ผนึกกำลังร่วมกันดำเนินโครงการ LNG Receiving Terminal แห่งใหม่
ซึ่งจะช่วยให้การใช้งานโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเกิดประโยชน์สูงสุด
อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาลให้ชัดเจน
สนับสนุนการยกระดับความรู้ ความสามารถของบุคลากร
ตลอดจนร่วมกันพัฒนานวัตกรรมทางด้านพลังงาน
เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ประเทศ นอกจากนี้
ทั้งสององค์กรได้แสวงหาโอกาสความร่วมมือและการลงทุนร่วมกันในอนาคตอันใกล้
รวมถึงโครงการ LNG Receiving Facilities ภาคใต้
เพื่อรองรับการจัดส่งก๊าซธรรมชาติให้โรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี
ซึ่งถือเป็นการสานต่อความร่วมมือในการปฏิบัติงานที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร
ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สำหรับโครงการ LNG
Receiving Terminal LMPT2 เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ กฟผ.
ได้รับมติจากภาครัฐ ให้ดำเนินการเข้าร่วมลงทุนกับ ปตท. โดยภายหลังจากที่ กฟผ. และ
ปตท. ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกันในปี 2564
ทั้งสองหน่วยงานได้ดำเนินการสอบทานทางธุรกิจ (Due Diligence) ในการประเมินมูลค่าโครงการ
ตลอดจนศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ในวันนี้ กฟผ. และ ปตท.
ได้ข้อตกลงร่วมกันในประเด็นเงื่อนไขสำคัญ
และรายละเอียดเบื้องต้นของการร่วมลงทุนในโครงการฯ
โดยได้จัดทำข้อตกลงดังกล่าวในลักษณะบันทึกสาระสำคัญของสัญญาร่วมทุน แล้วเสร็จ
เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบก๊าซธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งเป็นการเพิ่มผู้ให้บริการในคลังกักเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) อันจะช่วยส่งเสริมการแข่งขันในธุรกิจเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ
และเป็นไปตามแนวทางการเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติของประเทศไทย
ที่จะส่งผลในการพัฒนาตลาดก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยให้มีศักยภาพและมีความมั่นคงต่อไป
สำหรับการลงนามบันทึกสาระสำคัญของการร่วมทุนโครงการ
LNG Map Ta Phut Terminal 2 (LMPT2) ของ ปตท. และ กฟผ. ในครั้งนี้
เป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงานให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
และสร้างความเชื่อมั่นความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
รวมทั้งมีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้
เพื่อให้ประชาชนไทยมีพลังงานใช้อย่างต่อเนื่อง
และมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นต่อไป