นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่
28 กุมภาพันธ์ 2565
ย้ำนโยบายรักษาการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นและจ่ายเงิน ปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยมีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี
2565 ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 3.25
บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่
15 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 เมษายน 2565 หลังจากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี
2565 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 19 เมษายน 2565 เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้
หากรวมการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2564
ในอัตราหุ้นละ 3.25 บาท จะเป็นการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานสำหรับงวดบัญชีตั้งแต่วันที่
1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2564 รวมหุ้นละ 6.50 บาท
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 เอ็กโก
กรุ๊ป สามารถรักษาระดับการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน
(ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี
การด้อยค่าของสินทรัพย์ การวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน และการรับรู้รายได้แบบสัญญาเช่า)
จำนวน 10,218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,480 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17% เมื่อเทียบกับปี
2563 ในขณะที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 4,104 ล้านบาท ลดลง 4,629 ล้านบาท หรือคิดเป็น 53%
เมื่อเทียบกับปีก่อน
เนื่องจากมีผลกระทบหลักจากการแปลงมูลค่าหนี้สินสกุลเงินต่างประเทศเป็นสกุลเงินบาทซึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาท
และจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรม (Fair value) ของเครื่องมือทางการเงิน
ซึ่งทั้ง 2 รายการเป็นการรับรู้ ผลกระทบตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น
ไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและการดำเนินงาน
ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19
ระลอกใหม่ ความผันผวนทางเศรษฐกิจจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ต่อเนื่องจากปี
2563 และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เอ็กโก กรุ๊ป
ยังคงมีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง
โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ
ได้แก่ โรงไฟฟ้าไซยะบุรี โรงไฟฟ้าซานบัวนาเวนทูรา โรงไฟฟ้าเคซอน และจากอัตราค่าไฟฟ้าและไอน้ำต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าสตาร์
เอนเนอร์ยี่ โรงไฟฟ้าซาลักและโรงไฟฟ้าดาราจัท
รวมทั้งยังรับรู้กำไรจากโครงการใหม่ในสหรัฐอเมริกา 2 โครงการ ได้แก่
โรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน และเอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง
ในปี 2564 เอ็กโก กรุ๊ป มีการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเน้นเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและการต่อยอดพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจ โดยมีความสำเร็จสำคัญ คือ การขยายการลงทุนในสหรัฐอเมริกา 2 โครงการ ได้แก่ การซื้อหุ้นในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ "ลินเดน โคเจน" และการซื้อหุ้นใน "เอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง" ที่เป็นผู้นำการพัฒนา การขาย และการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โครงการพลังงานสะอาดในสหรัฐอเมริกา การลงทุนในกิจการสตาร์ทอัพ "เพียร์ พาวเวอร์" เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มบล็อกเชนซื้อขายพลังงาน ตลอดจนการได้รับใบอนุญาตเป็น "ผู้จัดหาและนำเข้าแอลเอ็นจี" เพื่อบริหารต้นทุนเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้าในกลุ่มเอ็กโกอย่างมีประสิทธิภาพ
เอ็กโก กรุ๊ป
ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ ด้วยการพัฒนา "โครงการนิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง"
เพื่อรองรับการลงทุนของ 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve และ
New S-Curve ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
(อีอีซี) ในขณะเดียวกันยังได้ต่อยอดพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจ โดยร่วมกับ กฟผ. และราช
กรุ๊ป จดทะเบียนจัดตั้ง "อินโนพาวเวอร์" เพื่อยกระดับงานวิจัยนวัตกรรมสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์
และการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเทคโนโลยี Solid
Oxide Fuel Cell (SOFC) กับ กฟผ. Bloom Energy และ
ATE เพื่อพัฒนาการใช้ไฮโดรเจนมาผลิตไฟฟ้า ที่จะช่วยสนับสนุนการลดคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศไทยและการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ไฮโดรเจน
เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ให้สำเร็จ
"ในปี 2565 เอ็กโก กรุ๊ป
มุ่งต่อยอดความสำเร็จในธุรกิจไฟฟ้า
โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด
เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ในขณะเดียวกัน
ได้เร่งขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง
ทั้งธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภค และธุรกิจ Smart Energy Solution นอกจากนี้
เอ็กโก กรุ๊ป ยังมีพันธกิจในการเป็นพลเมืองที่ดีของชุมชนและสังคมและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงาน
ควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน" นายเทพรัตน์
กล่าว