บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ
เอ็กโก กรุ๊ป เข้าร่วมกิจกรรม "บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน"
(Opportunity Day) ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2565
ในรูปแบบออนไลน์ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ นำโดย นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์
กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ที่ 2 จากซ้าย) พร้อมด้วยนายสมเกียรติ
สุทธิวานิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบัญชีและการเงิน (ที่ 2
จากขวา) ดร.กัมปนาท บำรุงกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานปฏิบัติการ
และรักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจในประเทศ (ขวาสุด) และนายจอห์น
พาลัมโบ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจต่างประเทศ (ซ้ายสุด)
เพื่อชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ การดำเนินงาน รวมถึงผลประกอบการในรอบปี 2564
ของเอ็กโก กรุ๊ป แก่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ นักลงทุน และสื่อมวลชน
นักลงทุนและผู้เข้าร่วมกิจกรรมต่างให้ความสนใจและร่วมซักถามทิศทางการดำเนินธุรกิจของเอ็กโก
กรุ๊ป แม้ปัจจุบันต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและถ่านหินจะปรับตัวสูงขึ้น
แต่บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวมากนัก เนื่องจาก 98%
ของกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัททั้งหมด 5,959
เมกะวัตต์ ทั้งในและต่างประเทศ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐ (PPA) และตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
(Power Pool) ซึ่งต้นทุนเชื้อเพลิงจะถูกส่งผ่านไปยังค่าพลังงาน
(Pass Through) ในขณะที่ 2%
เป็นการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรม (Industrial User)
สำหรับผลประกอบการในปี 2565
เอ็กโก กรุ๊ป
คาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามการรับรู้รายได้จากการดำเนินงานแบบเต็มปีจากโรงไฟฟ้า
"ลินเดน โคเจน" และการลงทุนใน
"เอเพ็กซ์" และการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่
3 โครงการ
ที่จะเปิดดำเนินการและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2565
ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ "TPN" โรงไฟฟ้า
"น้ำเทิน 1" ใน
สปป.ลาว รวมถึงการทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า "หยุนหลิน"
ในไต้หวัน
ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสมดุลในพอร์ตโฟลิโอและจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
พร้อมกันนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาและเตรียมเจรจาเรื่องการต่ออายุโรงไฟฟ้าเคซอน
ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะหมดอายุสัญญาในปี 2568
อีกด้วย
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์
กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป กล่าวว่า "เอ็กโก
กรุ๊ป มุ่งมั่นแสวงหาโอกาสทางธุรกิจที่สอดคล้องกับยุคเทคโนโลยีดิสรัปชันและเทรนด์โลกซึ่งมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
ด้วยงบลงทุน 30,000 ล้านบาท ในปี 2565
โดยเน้นการเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจไฟฟ้า ด้วยการตั้งเป้าหมายเพิ่ม
กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นใหม่อีก 1,000
เมกะวัตต์ ในปีนี้ พร้อมกับขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่
ธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภค และธุรกิจ Smart Energy Solution เพื่อให้สอดรับกับทิศทางในการดำเนินธุรกิจ
"Cleaner, Smarter and Stronger to Drive Sustainable Growth" ด้วยการมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
(Carbon Neutral) ภายในปี 2593
และเป้าหมายลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon
Emission Intensity) 10% ภายในปี 2573"