นายกิตติ เพ็ชรสันทัด
รองผู้ว่าการระบบส่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ในฐานะประธานศูนย์ติดตามสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงานของ กฟผ. เปิดเผยว่า
เนื่องจากสถานการณ์วิกฤตพลังงานโลกยังทวีความรุนแรง และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
กฟผ. ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลรักษาความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ
จึงได้ดำเนินการตามมาตรการเพิ่มเติมเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว
ตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
ว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าระยะสั้นเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน พ.ศ. 2565
โดยเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2565 กฟผ.
ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าระยะสั้นจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) เฉพาะรายที่ไม่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้า
ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน
จึงถือเป็นความร่วมมืออันดีระหว่างภาครัฐและผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขวิกฤตพลังงานของประเทศครั้งนี้
คาดว่าจะช่วยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าจากต่างประเทศลงได้
และยังช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาเศษชานอ้อย
เนื่องจากเกษตรกรหันมาขายเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าแทน
"นอกจากนี้ กฟผ. จะเร่งนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว
(LNG) รูปแบบตลาดจร (Spot) จำนวน
2 ลำเรือ ในช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2565 ตามมติ กกพ. ในการประชุมครั้งที่
16/2565 เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา โดยมีปริมาณนำเข้าประมาณ 65,000
ตันต่อลำเรือ เพื่อใช้ทดแทนเชื้อเพลิงน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาสำหรับผลิตไฟฟ้า
เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและสูงสุดในรอบ
7 ปี บวกกับการคาดการณ์ความสามารถในการจัดส่งน้ำมันของผู้ค้าน้ำมันมาตรา 7
ของกรมธุรกิจพลังงาน ซึ่งคาดการณ์ว่า ในเดือนพฤษภาคมนี้
จะมีปริมาณน้ำมันไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในการผลิตไฟฟ้าประมาณ 5
ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งการจัดหา LNG ครั้งนี้
จะช่วยเสริมความมั่นคงระบบพลังงานของประเทศ
และทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าลดลงประมาณ 500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น"
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาล
กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งแก้ไขสถานการณ์อย่างเต็มที่ โดยให้
กฟผ. เร่งดำเนินมาตรการเพื่อลดภาระค่าเชื้อเพลิง อาทิ
ปรับแผนบริหารจัดการเชื้อเพลิง โดยปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า
กฟผ. มาใช้เชื้อเพลิงประเภทน้ำมัน ได้แก่ น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา ทดแทนก๊าซฯ
ในช่วงราคาก๊าซฯ ในตลาดโลกพุ่งสูง โดยระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2564 - มีนาคม 2565
สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลงได้ 437.50 ล้านบาท
และเลื่อนแผนการปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เครื่องที่ 8 ที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง
ออกจากระบบไปก่อน 1 ปี โดยระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม 2565
สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลงได้ 3,162.41 ล้านบาท
รวมทั้งยังได้รับภาระค่าไฟฟ้าเรื่องต้นทุนเชื้อเพลิง
ตั้งแต่งวดเดือนกันยายน 2564 จนถึงงวดเดือนเมษายน 2565 แทนประชาชนเป็นการชั่วคราว
ประมาณ 60,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้มากที่สุด ทำให้ กฟผ.
ขาดสภาพคล่องทางการเงิน จำเป็นต้องกู้เงินมาลงทุนแล้ว 25,000 ล้านบาท