นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า
เอ็กโก กรุ๊ป และบริษัท เจร่า จำกัด ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) การร่วมศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาธุรกิจการจัดหาเชื้อเพลิง
LNG ตั้งแต่การศึกษาตลาด การวางแผนกลยุทธ์
การเข้าร่วมประมูล ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ MOU ยังมีวัตถุประสงค์ในการขยายโอกาสการใช้ไฮโดรเจนและแอมโมเนีย
ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ไม่มีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างการเผาไหม้
เพื่อเป็นพลังงานทางเลือกในอนาคตสำหรับการผลิตไฟฟ้า
ความร่วมมือด้าน LNG นี้
จะช่วยสนับสนุนนโยบายการเปิดเสรีนำเข้าก๊าซธรรมชาติของประเทศไทย โดยเอ็กโก กรุ๊ป
เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (LNG Shipper License) จากคณะกรรมการกำกับกิจพลังงาน
(กกพ.) ภายใต้นโยบายดังกล่าว
ด้านเจร่าเป็นบริษัทพลังงานที่ผลิตไฟฟ้าอย่างครบวงจรในประเทศญี่ปุ่นและมีประสบการณ์ในธุรกิจ
LNG รวมทั้งเป็นผู้ถือหุ้นทางอ้อมในสัดส่วน 12%
ของเอ็กโก กรุ๊ป ผ่าน บริษัท เท็ปเดียเจเนอเรติ้ง บี.วี. จำกัด
"เอ็กโก กรุ๊ป
รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผนึกพลังร่วมกับเจร่า
ซึ่งเป็นพันธมิตรอันดีของเรามาอย่างยาวนาน
โดยเชื่อว่าบันทึกความเข้าใจนี้จะนำไปสู่การพัฒนาธุรกิจด้าน LNG ตลอดซัพพลายเชน
ทั้งในไทยและต่างประเทศ
รวมถึงความเป็นไปได้ในการขยายโอกาสการใช้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียเพื่อผลิตไฟฟ้า
ความร่วมมือครั้งนี้จึงตอกย้ำความมุ่งมั่นของเอ็กโก กรุ๊ป
ในการขยายฐานธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภคให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ควบคู่กับการมุ่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด
เพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงานและการขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ"
นายเทพรัตน์กล่าว
เอ็กโก กรุ๊ป
มุ่งมั่นสร้างการเติบโตที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงาน แผนพลังงานชาติ
และเทรนด์สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการขับเคลื่อนองค์กรอย่างยั่งยืนตามทิศทาง "Cleaner,
Smarter and Stronger to Drive Sustainable Growth" พร้อมตั้งเป้าหมายลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้
(Carbon Emission Intensity) 10% ภายในปี 2573
และบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี
2593 โดยเอ็กโก กรุ๊ป แสวงหาโอกาสการลงทุนในพลังงานสะอาด
ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ อย่างไม่หยุดยั้ง
จนถึงปัจจุบันบริษัทมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,364 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นประมาณ
23% จากกำลังผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นทั้งหมด 5,959 เมกะวัตต์