นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ
ปตท.สผ. กล่าวว่า ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ปตท.สผ.
ได้ประกาศความมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างความสมดุลทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
โดยจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อน รวมทั้ง
สนับสนุนเป้าหมายของประเทศเกี่ยวกับการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน โดย ปตท.สผ.
ได้กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 (Net
Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) ซึ่งจะดำเนินงานผ่านแนวคิด EP
Net Zero 2050
เพื่อสร้างคุณค่าร่วมแก่ผู้มีส่วนได้เสีย และการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
การดำเนินงานตามแนวคิด EP Net
Zero 2050 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังกล่าว
จะครอบคลุม Scope 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง และ Scope
2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน
ในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่ง ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการ (Operational
Control) โดยได้กำหนดเป้าหมายเพื่อลดปริมาณความเข้ม (Intensity)
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ภายในปี 2573
และร้อยละ 50 ภายในปี 2583 (จากปีฐาน 2563) เพื่อนำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
ให้ได้ตามเป้าหมายในปี 2593
ในด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 1
ที่ผ่านมา ปตท.สผ. มีรายได้รวม 2,083 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.) (เทียบเท่า 68,890
ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาส 4 ปี 2564 ซึ่งมีรายได้ 1,989 ล้านดอลลาร์
สรอ. (เทียบเท่า 66,222 ล้านบาท)
สาเหตุหลักมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์ในไตรมาสนี้ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ขณะที่ปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 427,368 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน
เทียบกับ 420,965 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันใน ไตรมาส 4 ของปีก่อน
ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มปริมาณการผลิตและขายก๊าซขั้นต่ำของโครงการอาทิตย์
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 1 นี้
บริษัทมีรายจ่ายจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติ (Non-operating items) โดยมีผลขาดทุนจากการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน
จำนวน 240 ล้านดอลลาร์ สรอ.
จากผลประกอบการดังกล่าว ส่งผลให้ ปตท.สผ.
มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ที่ 318 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 10,519 ล้านบาท)
ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิที่ 321
ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 10,646 ล้านบาท) สำหรับต้นทุนต่อหน่วย (Unit
cost) ในไตรมาสที่ 1 นี้ อยู่ที่ 26.54 ดอลลาร์ สรอ.
ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี
และค่าเสื่อมราคาที่ร้อยละ 78 ซึ่งเป็นไปตามที่เป้าหมายที่วางไว้
"ในส่วนการดำเนินงานหลักของปีนี้ ปตท.สผ.
ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในโครงการจี 1/61 หลังจากบริษัทเข้าเป็นผู้ดำเนินการ
เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2565
โดยจะเร่งแผนงานการเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติให้ได้ตามเงื่อนไขในสัญญาแบ่งปันผลผลิต
เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานของประชาชนและประเทศ นอกจากนี้
บริษัทยังมองหาโอกาสทางการลงทุนในธุรกิจใหม่นอกเหนือจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน
ซึ่งขณะนี้ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทำการศึกษาเกี่ยวกับการผลิตกรีนอีเมทานอลซึ่งเป็นพลังงานสะอาด
และการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ
CCS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ในการช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
โดยเป็นอีกหนึ่งแนวทาง ในการดำเนินธุรกิจของ ปตท.สผ. ที่จะสร้างสมดุลระหว่างธุรกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ
และการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน" นายมนตรี กล่าว
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ปตท.สผ. ได้ร่วมมือกับ
บริษัท อินเป็กซ์ คอร์ปอเรชั่น และเจจีซี โฮลดิ้งส์ คอร์ปอเรชั่น
ซึ่งเป็นพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น
ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon
Capture and Storage หรือ CCS) ในประเทศไทย
ซึ่งจะครอบคลุมถึงขั้นตอน เทคโนโลยี และกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อผลักดันการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคอุตสาหกรรม รวมถึง
ได้ลงนามความร่วมมือกับ 5 บริษัทนานาชาติชั้นนำด้านพลังงานและโลจิสติกส์
ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง "โรงงานผลิตกรีนอีเมทานอล"
(Green e-methanol) เชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำที่ได้จากการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ชีวภาพ
ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีที่จะนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้ประโยชน์ (Carbon
Capture and Utilization หรือ CCU)