นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ
ปตท.สผ. กล่าวว่า ตามที่ ปตท.สผ.
ตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net
Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050)
เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำนั้น ปตท.สผ. ได้วางแผนการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านแนวคิด
EP Net Zero 2050
ซึ่งหนึ่งในนั้นคือโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon
Capture and Storage หรือ CCS) ปัจจุบัน
ปตท.สผ. อยู่ระหว่างศึกษาและพัฒนา CCS ที่โครงการอาทิตย์ในอ่าวไทย รวมทั้ง
ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ
เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ปตท.สผ.
ยังได้ร่วมมือกับสถาบันนวัตกรรม ปตท.
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และมหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนากระบวนการผลิตท่อนาโนคาร์บอน (Carbon Nanotubes หรือ
CNTs) จากก๊าซส่วนเกินในกระบวนการผลิตปิโตรเลียม หรือ
Flare gas ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนและการนำมาใช้ประโยชน์
(Carbon Capture and Utilization หรือ CCU) โดย
CNTs เป็นวัสดุแห่งอนาคตที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
เช่น เป็นส่วนประกอบของแบตเตอรี่ อุปกรณ์กักเก็บพลังงานอื่น ๆ
และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ปัจจุบัน ปตท.สผ.
อยู่ระหว่างการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อทดสอบการผลิตท่อนาโนคาร์บอนในโรงงานนำร่อง (Pilot
Plant) ซึ่งวางแผนติดตั้งที่โครงการเอส 1 ในอีกประมาณ
2 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ ปตท.สผ.
ยังมองแนวทางการชดเชยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ
ด้วยการดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลน จำนวน 45,000 ไร่ ภายในปี 2573
โดยบริษัทได้เริ่มปลูกไปแล้วตั้งแต่ปี 2564 ถึงปัจจุบัน ประมาณ 5,000 ไร่
และจะปลูกอย่างต่อเนื่องปีละ 5,000 ไร่ พร้อมบำรุงรักษาไปจนถึงปี 2582
จากประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2582 จะอยู่ที่ประมาณ 1.113
ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ผลประกอบการไตรมาส 3 ของปี 2565 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 2,617
ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.) (เทียบเท่า 95,292 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 148 ล้านดอลลาร์
สรอ. เมื่อเทียบกับรายได้รวม 2,469
ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 84,955 ล้านบาท) ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
โดยในไตรมาส 3 ปตท.สผ. มีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 478,323
บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นจาก 465,459 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในไตรมาสที่แล้ว
โดยหลักมาจากโครงการจี 1/61 หลังจากเข้าเป็นผู้ดำเนินการเมื่อปลายเดือนเมษายน 2565
และจากโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJDA) ซึ่งได้เพิ่มปริมาณการผลิต
รองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศ ในขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยปรับลดลงจาก
55.61 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ มาอยู่ที่ 53.68 ดอลลาร์ สรอ.
ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก ในไตรมาสที่
3 นี้ บริษัทมีผลกำไรจากสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน จำนวน 94 ล้านดอลลาร์
สรอ. (เทียบเท่า 3,415 ล้านบาท)
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น
ส่งผลให้ในไตรมาส 3 ปตท.สผ. มีกำไรสุทธิ
664 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 24,172 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 64 ล้านดอลลาร์
สรอ. จากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีกำไรสุทธิ 600 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 20,600 ล้านบาท)
และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ ร้อยละ 76 ซึ่งเป็นตามที่คาดการณ์ไว้
นำส่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาประเทศ ในรอบ 9 เดือนของปี 2565 ปตท.สผ.
ได้นำรายได้ส่งให้กับรัฐ ซึ่งอยู่ในรูปภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง
และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ ประมาณ
70,000 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการพัฒนาชุมชน การศึกษา
และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น
การขยายการลงทุนในพื้นที่ยุทธศาสตร์ สำหรับการขยายการลงทุนในตะวันออกกลาง
ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของ ปตท.สผ. ในไตรมาสนี้ ปตท.สผ.
ประสบความสำเร็จในการเจาะหลุมสำรวจหลุมแรกในโครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) โดยค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่อีกครั้ง
ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตทางธุรกิจให้กับบริษัทในอนาคต อีกทั้ง ปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยในปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว
โดยหลักมาจากการเข้าซื้อโครงการโอมาน แปลง 61 ในเดือนมีนาคมปีก่อน
ความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อเร่งการผลิตก๊าซธรรมชาติของโครงการจี
1/61 หลังจากที่
ปตท.สผ. ชนะการประมูลโครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ, ปลาทอง,
สตูล, ฟูนาน) นั้น
บริษัทได้เตรียมแผนงานในการเข้าพื้นที่โครงการจี 1/61 ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 2 ปี
ก่อนวันที่ ปตท.สผ. จะเข้าเป็นผู้ดำเนินการในสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ตามข้อตกลงที่มีต่อรัฐ
เพื่อรักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
แต่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้รับสัมปทานรายเดิมให้เข้าพื้นที่ จนเกิดความล่าช้าจากแผนงานเดิมเป็นเวลากว่า
2 ปี ประกอบกับผู้รับสัมปทานรายเดิมหยุดการพัฒนาแหล่งก๊าซฯ มาเป็นเวลานาน
ส่งผลให้อัตราการผลิตก๊าซฯลดลงอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมา ปตท.สผ.
ได้ปรับแผนงานมาโดยตลอด เพื่อเร่งอัตราการผลิตก๊าซฯ
และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด
โดยในช่วงระยะเวลา 6 เดือน
หลังจากวันที่ ปตท.สผ. ได้เข้าเป็นผู้ดำเนินการในปลายเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา
ปตท.สผ. ได้ทำการเจาะหลุมผลิตไปแล้ว จำนวน 10 หลุม และติดตั้งแท่นหลุมผลิต (wellhead
platform) เสร็จสิ้นไปแล้ว 4 แท่น
ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งแท่นหลุมผลิตอีก 4 แท่น วางท่อใต้ทะเล
และได้เพิ่มแท่นเจาะ (Rig) เพื่อเจาะหลุมผลิตอีกประมาณ 70
หลุมภายในปี 2565 นี้
รวมทั้งกำลังเร่งก่อสร้างแท่นหลุมผลิตใหม่อีก 4 แท่น
ซึ่งมีความคืบหน้าไปเร็วกว่าแผนงานที่วางไว้
"การเร่งรัดพัฒนาโครงการจี 1/61
เป็นอีกเป้าหมายหลักของ ปตท.สผ. ซึ่งภารกิจที่สำคัญครั้งนี้ ปตท.สผ.
ตระหนักเป็นอย่างดี
เราพยายามอย่างเต็มความสามารถและหาทุกวิถีทางมาโดยตลอดในการเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติให้ได้มากขึ้น
เพื่อประโยชน์ของประชาชนและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ" นายมนตรีกล่าว
ในระหว่างที่กำลังเร่งพัฒนาโครงการจี 1/61
นั้น ปตท.สผ. ได้เพิ่มการผลิตก๊าซฯ
จากแหล่งบงกช แหล่งอาทิตย์ และพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJDA) รวมอีกประมาณ 200 - 250
ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
เพื่อบรรเทาผลกระทบจากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติให้กับประชาชนและประเทศ
การพัฒนาเทคโนโลยี ด้านความคืบหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีนั้น
บริษัท โรวูล่า (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้บริษัท ARV ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ
ปตท.สผ. ประสบความสำเร็จในการพัฒนาหุ่นยนต์นอติลุส (Nautilus) ร่วมกับพันธมิตร
และพร้อมสำหรับให้บริการในเชิงพาณิชย์แล้ว นอติลุสเป็นหุ่นยนต์ซ่อมท่อใต้น้ำกึ่งอัตโนมัติตัวแรกของโลก
ที่สามารถลงไปซ่อมบำรุงท่อใต้ทะเลได้ลึกมากถึง 150 เมตร
รองรับภารกิจที่มีความเสี่ยงกับมนุษย์ เพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานใต้ทะเลลึก
และยังช่วยประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้กว่า 40%