ดร.
ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์
จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM หนึ่งในบริษัทพลังงานเอกชนชั้นนำของประเทศไทย
ที่โดดเด่นในด้านการผลิตไฟฟ้าอุตสาหกรรมและไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในประเทศและต่างประเทศ
เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2565
มีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 12.3% เป็น 14,579
ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของรายได้โรงไฟฟ้าสำหรับภาคอุตสาหกรรม
(Small Power Producer หรือ SPP) ทั้งในส่วนที่ขายไฟฟ้าให้
แก่ กฟผ. และลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) จากการเพิ่มขึ้นของราคาก๊าซธรรมชาติและการปรับขึ้นของค่า
Ft และปริมาณขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม
ขณะที่รายได้รวมปี
2565 เพิ่มขึ้น 33.8%
เป็น 62,395 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยมีปริมาณไฟฟ้าที่ขายอยู่ที่ 13,958 กิกะวัตต์-ชั่วโมง สาเหตุมาจาก จาก 1)
ราคาขายไฟฟ้าต่อหน่วยให้แก่ กฟผ.
เพิ่มขึ้นจากกลไกการส่งผ่านค่าเชื้อเพลิงตามราคาก๊าซธรรมชาติ ค่า Ft และราคาขายไอน้ำต่อหน่วยเพิ่มขึ้น
2) การฟื้นตัวของปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้แก่ลูกค้า IU
ในประเทศเวียดนาม จากการล็อคดาวน์ประเทศในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19
3) การเติบโตจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว และ 4) การเริ่มดำเนินการของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม
กำลังการผลิต 16 เมกะวัตต์ ในประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคม 2564
ด้านกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน-ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่
สำหรับปี 2565 อยู่ที่ 375
ล้านบาท ลดลง 84.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในไตรมาสที่ 4 ปี
2565 อยู่ที่ 169
ล้านบาท ลดลง 20.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาก๊าซธรรมชาติ
ซึ่งส่งผลมากกว่าการปรับขึ้นของค่า Ft (ผลการดำเนินงานของลูกค้า IU ในประเทศคิดเป็น
20.7% ของรายได้รวม)
หากรวมผลขาดทุนจากรายการที่ไม่ใช่เงินสดและรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน
ทั้งการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง และขาดทุนจากการด้อยค่าของโรงไฟฟ้าและอุปกรณ์สำหรับโรงไฟฟ้าที่มีการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ทดแทนซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว
จะส่งผลให้ บี.กริม เพาเวอร์ รายงานผลขาดทุนสุทธิ-ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่เท่ากับ
1,244 ล้านบาท สำหรับปี 2565
และ 545 ล้านบาท สำหรับไตรมาสที่ 4 ปี
2565
ส่วนปัจจัยสนับสนุนผลการดำเนินงานในช่วง
12 เดือนข้างหน้าของ บี.กริม เพาเวอร์ คือ
การเพิ่มขึ้นของค่า Ft จาก 0.9343
บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น 1.5492 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
ในเดือนมกราคม - เมษายน 2566
สาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มของราคาพลังงานโลก และคาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติต่อหน่วย
สำหรับ SPP จะอยู่ที่ 400-450
บาทต่อล้าน BTU พร้อมกันนี้
ตั้งเป้าดำเนินการตามแผนควบคุมค่าใช้จ่าย เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในปีนี้อย่างน้อย 50-70
ล้านบาท
"ด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างโอบอ้อมอารี
และการปรับตัวให้ทันสมัยอยู่เสมอ บี.กริม สามารถก้าวผ่านมาได้ทุกวิกฤตตลอด 145 ปี
แม้ในปี 2565 บี.กริม เพาเวอร์ จะมีผลการดำเนินงาน
ชะลอตัวด้วยผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและค่าใช้จ่ายทางบัญชีที่ไม่ใช่เงินสด บี.กริม
เพาเวอร์ เชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานขององค์กรจะสามารถฟื้นตัวอย่างมั่นคงในปี 2566
และอนาคตต่อจากนี้ไป ด้วยยุทธศาสตร์ GreenLeap Global and Green มุ่งเน้นตอบโจทย์ความต้องการด้านพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป
ขยายการลงทุนในพลังงานทดแทน มุ่งสู่ 4,700 เมกะวัตต์ในปี 2567
และ 10,000 เมกะวัตต์ในปี 2573" ดร.
ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าว
ดร.
ฮาราลด์ ลิงค์ เปิดเผยว่า "ปี 2565 เป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย
จากสถานการณ์ในรัฐเซีย-ยูเครน และราคาก๊าซธรรมชาติ
ตลอดจนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก บี.กริม เพาเวอร์
ได้ร่วมแรงร่วมใจในการลดค่าใช้จ่าย ขยายธุรกิจและบริการใหม่
เห็นได้จากรายได้จากค่าบริการที่เพิ่มขึ้น 381
ล้านบาท และรายได้จากใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) 22
ล้านบาท ในปี 2565
บริษัทยังให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต
ด้วยการปรับโครงสร้างองค์กรที่มุ่งเน้นเรื่องนวัตกรรม การลงทุน และความยั่งยืน
โดยร่วมมือกับ Global Innovation Catalyst (GIC) จาก
Silicon Valley เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านนวัตกรรมขององค์กร
นอกจากนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ยังได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายงาน S&P
Global’s Sustainability Yearbook ติดต่อกันมาเป็นปีที่ 2
โดยอยู่ในกลุ่มบริษัทผู้นำ 10% แรกของอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคไฟฟ้า
ในรายงานฉบับปี 2566 สะท้อนการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์กร"
สำหรับแผนงานในปี 2566
บริษัทเดินหน้าขยายการลงทุน
และสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศต่อเนื่อง โดยในเดือนกุมภาพันธ์
บี.กริม เพาเวอร์ และ อมตะ คอร์ปอเรชัน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการ
"อมตะ ยูโรเปี้ยน สมาร์ท ซิตี้" (AMATA European Smart City) รองรับการลงทุนด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
(s-curve industries) ที่มีแนวโน้มจะขยายฐานการผลิตมายังทวีปเอเชีย
และล่าสุดยังได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับ
TNB Power Generation บริษัทย่อยของการไฟฟ้าแห่งชาติมาเลเซีย (Tenaga
Nasional Berhad: TNB) เพื่อนำเข้าพลังงานหมุนเวียน (พลังงานน้ำ
ลม และแสงอาทิตย์)
จากโรงไฟฟ้ารวมขนาด 200 เมกะวัตต์
ผ่านกลไกของโครงการเชื่อมโยงระบบพลังงาน ลาว-ไทย-มาเลเซีย
รวมถึงร่วมกันพัฒนาโครงการพลังงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
"ตลอดปี
2566 บี.กริม เพาเวอร์
วางเป้าหมายการได้มาของโครงการใหม่ๆ เพิ่มกำลังการผลิตจากการเข้าซื้อกิจการ
การเพิ่มจำนวนลูกค้า IU รายใหม่ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 50.0-60.0
เมกะวัตต์ และการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ 438
เมกะวัตต์ จากโครงการโรงไฟฟ้า SPP เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม BGPM2R
(บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (เอไออี-เอ็มทีพี) 2) , โครงการโรงไฟฟ้าแบบผสมผสาน
อู่ตะเภา และโครงการโรงไฟฟ้า SPP ใหม่ 2
โครงการ BGPAT2&3 (บริษัท บี.กริม อ่างทอง 2
จำกัด และ บริษัท บี.กริม อ่างทอง 3 จำกัด)" ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าว
ในระยะยาว
บริษัทฯ
ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลกและบรรลุเป้าหมายการก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์
(Net-Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593
การเพิ่มกำลังเป็น 4,700 เมกะวัตต์ ในปี 2567
และเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573
โดยมี EBITDA มากกว่า 3.5
หมื่นล้านบาทต่อปี และมีอัตรากำไร EBITDA ที่ร้อยละ 35
ภายในปี 2573
โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
มีเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 50%
ในปี 2573 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 25%
ด้านรางวัลและประกาศเกียรติคุณ
บริษัทฯ ได้รับ 5 รางวัล จากงาน The 12th Asian
Excellence Awards 2022 จัดโดย Corporate Governance Asia และ
2 รางวัล จากงาน Asian Power Awards 2022
จัดโดย Asian Power, รางวัล Rising Star Sustainability
Excellence จากงาน SET Awards 2022
จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และรางวัล Best in Sector -
Utilities จากงาน South East Asia Awards 2022
จัดโดย IR Magazine อีกด้วย
ทั้งนี้ คณะกรรมการ บี.กริม เพาเวอร์
ประกาศจ่ายเงินปันผลที่ 0.065 บาทต่อหุ้น สำหรับผลการดำเนินงานปี 2565
คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่ 45% ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน
โดยเหลือเงินปันผลจ่ายงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.035 บาท
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการอนุมัติของที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 สอดคล้องกับนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า
40%