นายสุเมธ ลักษิตานนท์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TGE
เปิดเผยว่า จากแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ
ที่มุ่งเป็นผู้นำอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
โดยมีเป้าหมายขยายกำลังการผลิตติดตั้งเป็นมากกว่า 100 เมกะวัตต์ (MW) ภายในปี
2570 เพื่อก้าวเป็นผู้นำอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนในประเทศไทย
และเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็นมากกว่า 200 MW ภายในปี
2575 เพื่อยกระดับเป็นผู้นำอุตสาหกรรมระดับภูมิภาค
จากปัจจุบันที่กำลังการผลิตติดตั้งรวม 69.6 MW ประกอบด้วย
โรงไฟฟ้าชีวมวล 3 แห่ง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ซึ่งผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว
มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 29.7 MW และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 5 แห่ง
ที่ชนะประมูลจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำลังการผลิตติดตั้งรวม 39.9 MW ได้แก่
ราชบุรี สระแก้ว ชุมพร จะเริ่ม COD ปลายปี 2567 ส่วนสมุทรสาครและชัยนาท
คาดว่าจะ COD ปลายปี 2568 บริษัทฯ
จึงวางแผนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าภายใต้ 5 กลยุทธ์หลักที่จะเพิ่มศักยภาพและการเติบโตในระยะยาว
ทั้งนี้ 5 กลยุทธ์หลักดังกล่าว ได้แก่
1) การขยายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าซึ่งเป็นธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง
ทั้งการเข้าประมูลโรงไฟฟ้าขยะชุมชนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อีก 2
โครงการในปีนี้ ทำ M&A ขยายช่องทางสร้างรายได้ใหม่ เช่น ผลิตเชื้อเพลิงชีวมวล,
วู้ดพาเล็ต เป็นต้น
ศึกษาการนำขี้เถ้าในกระบวนการผลิตมาต่อยอดสร้างรายได้
และเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายคาร์บอนเครดิต โดยปัจจุบันโรงไฟฟ้าชีวมวล TPG จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ได้รับการขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย หรือ
T-VER แล้ว
มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับรองคาร์บอนเครดิตจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
(อบก.) 33,964 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq)
ในปีแรก ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2564 - 31 กรกฎาคม 2565 และในปีที่
2 จะได้รับรองเพิ่มขึ้นอีกกว่า 33,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
นอกจากนี้โรงไฟฟ้าชีวมวล TBP จังหวัดสุราษฎร์ธานี
อยู่ระหว่างขึ้นทะเบียน T-VER อีก 1 แห่ง และ TGE ก็อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียน
I-REC ด้วยเช่นกัน
ซึ่งหากดำเนินการตามแผนลงทุนโครงการโรงไฟฟ้า ขยายช่องทางสร้างรายได้ใหม่
และการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตแล้วเสร็จจะส่งผลดีต่อการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
โดยคาดว่าจะผลักดันรายได้ของบริษัทฯ ในปี 2567 เพิ่มขึ้นได้อีกมากกว่า 50% จากปี
2565 ที่มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 938 ล้านบาท
2)
นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและเดินเครื่องจักรผลิตพลังงานไฟฟ้า 3) การบริหารพอร์ตโฟลิโอ
โดยรุกเข้าสู่ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนประเภทใหม่ๆ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานลม
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ และธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆ
เพื่อสร้างความสมดุลแก่พอร์ตโฟลิโอ จากปัจจุบันที่มีรายได้หลักจากโรงไฟฟ้าชีวมวล 3
แห่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และอยู่ระหว่างขยายการลงทุนในโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 5
โครงการ ที่ชนะการประมูลจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น 4)
การร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเสริมศักยภาพการเติบโต
5)
มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้หลัก ESG โดยบริษัทฯ
มุ่งเน้นการขยายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการลดภาวะโลกร้อน
ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ
ลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
รวมถึงมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและยึดหลักธรรมาภิบาล
โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
"โรงไฟฟ้าขยะชุมชนที่ชนะการประมูลทั้ง
5 โครงการ จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตแก่บริษัทฯ ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มุ่งขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยจะเข้าประมูลอีกอย่างน้อย
2 โครงการ รวมถึงพิจารณาโอกาสทำ M&A" นายสุเมธ กล่าว