วานนี้ (25 พ.ค. 66)
สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.)
จัดกิจกรรมศึกษาดูงานเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ดึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านสถานการณ์พลังงาน
บทบาทและความเป็นมาของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
พร้อมลงพื้นที่เยี่ยมชมกระบวนการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพเอทานอล ของบริษัท อุบล ไบโอ
เอทานอล จำกัด (มหาชน)
แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อแนวทางการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ
นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เปิดเผยว่า สกนช. ได้จัดกิจกรรมศึกษาดูงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้
โดยนำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน
และสื่อมวลชนเข้าร่วมเพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจต่อสถานการณ์พลังงาน
และบทบาทความเป็นมาของกองทุนน้ำมัน โดยที่ผ่านมากองทุนน้ำมันฯ
มีบทบาทค่อนข้างมากในการเป็นเครื่องมือพยุงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศให้อยู่ระดับเหมาะสม
ซึ่งถือเป็นบทบาทหลักของกองทุนน้ำมันฯ
ในการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานในประเทศในยามวิกฤต
ในอีกบทบาทหนึ่งที่สำคัญตามมาตรา 55
แห่งพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 คือ การลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ
ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีเห็นชอการขยายระยะเวลาดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไป
2 ปี จนถึงวันที่ 24 กันยายน 2567 เนื่องจากมีปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ยังไม่เอื้อต่อการลดการชดเชยดังกล่าว
การขยายเวลาลดการชดเชยจะช่วยเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ
โดยการสร้างส่วนต่างราคาขายปลีกจูงใจให้เกิดการใช้พลังงานชีวภาพ และยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้จากการขยายพืชผลทางเกษตรอีกด้วย
ในการลงพื้นที่เยี่ยมชมกระบวนการผลิตเอทานอลของบริษัท
อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน)
นอกจากจะได้ศึกษาดูงานเกี่ยวกับธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากเอทานอลแล้ว
จะได้ติดตามความก้าวหน้าของธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพที่มีศักยภาพ
มีความพร้อมปรับตัวรับมือกับสถานการณ์หากต้องยกเลิกการชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพในที่สุด
ซึ่งกลุ่มบริษัท อุบล ไบโอ เอทานอลฯ
เป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างโดดเด่นสามารถพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
นางสาวสุรียส โควสุรัตน์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด
(มหาชน) หรือ UBE กล่าวว่า บริษัทฯ
เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายเอทานอลเกรดเชื้อเพลิงรายใหญ่ของประเทศ
มีโรงงานผลิตเอทานอลกำลังการผลิต 400,000 ลิตรต่อวัน หรือเทียบเท่ากำลังการผลิต
146 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งถือเป็นกำลังการผลิตต่อ 1
สายการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง โดย
สามารถผลิตได้ทั้งเอทานอลเกรดเชื้อเพลิง (Fuel Grade Alcohol) และเกรดอุตสาหกรรม
(Industrial Grade Alcohol) ซึ่งปัจจุบันได้รับใบอนุญาตแบบชั่วคราวให้นำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์แอลกกอฮอล์ทำความสะอาดมือ
บริษัทฯ
มุ่งดำเนินธุรกิจบนแนวคิดการสร้างคุณค่าร่วมเพื่อความยั่งยืน
โดยให้ความสำคัญกับทุกกระบวนการตลอดวัฎจักรของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการวัตถุดิบมันสำปะหลัง
โดยเฉพาะการส่งเสริมการปลูกมันสำปะหลังอินทรีย์ที่มีคุณภาพผ่านโครงการ "อีสานล่าง
2 โมเดล" (เดิม โครงการอุบลโมเดล)
ต่อมาถึงกระบวนการผลิตที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
รวมถึงการเดินตามเป้าหมายการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด
และการเพิ่มมูลค่าของเสียที่เกิดจากการผลิต ภายใต้แนวคิด Zero Waste ซึ่งเป็นการลดขยะตั้งแต่ต้นทางเพื่อไม่ให้เกิดของเสียออกจากกระบวนการผลิต
ด้วยการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต เช่น น้ำและกากมันสำปะหลัง
มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โดยนำมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนในโรงงานผลิตเอทานอลและแป้งมันสำปะหลัง
นอกจากนี้ ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ส่วนหนึ่งจะนำไปผลิตกระแสไฟฟ้า
เพื่อใช้หมุนเวียนในโรงงานเพื่อลดต้นทุนการผลิต
ในส่วนของธุรกิจเอทานอลซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจหลัก
นางสาวสุรียส ให้ความเห็นว่า ภาพรวมของธุรกิจเอทานอลยังมีโอกาสเติบโต
เนื่องจากเป็นพลังงานสะอาดและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกมาก
หากแต่ต้องได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ
ทั้งในส่วนของเกรดอุตสาหกรรมซึ่งควรเปิดเสรีการใช้งานเอทานอลเกรดอุตสาหกรรม เพื่อต่อยอดการใช้งานเอทานอลไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ
อาทิ การขยายการใช้งานไปยังอุตสาหกรรมไบโอพลาสติก ยา และเครื่องสำอาง เป็นต้น
ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ ได้มุ่งเป้าขับเคลื่อนสู่เป้าหมายดังกล่าว
ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเดินหน้าความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D)
กับหน่วยงานต่างๆ เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนา
รวมถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อนำไปสู่การต่อยอดไอเดียหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น ความร่วมมือด้าน R&D กับ
สถาบันนวัตกรรม ปตท.
เพื่อนำเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงมาพัฒนาสายพันธุ์ยีสต์ทนร้อนเพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเอทานอล
เป็นต้
"ส่วนเอทานอลเกรดเชื้อเพลิง
ซึ่งอาจจะมีทิศทางที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพในอนาคตนั้น
ตนเห็นว่า หน่วยงานภาครัฐยังจำเป็นต้องมีนโยบายส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์ E20
เป็นน้ำมันพื้นฐานต่อไป รวมถึงควรผลักดันการใช้งานเอทานอลเกรดเชื้อเพลิงไปสู่อุตสาหกรรมการบิน
เพื่อเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสะอาดสำหรับเครื่องบิน และอื่นๆ
อันจะเป็นการหนุนปริมาณการใช้เอทานอลในประเทศให้ใกล้เคียงกับกำลังการผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งไม่เพียงช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเอทานอลของไทย
แต่ยังเป็นสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยลดการพึ่งพาน้ำมันจากต่างประเทศ
และสร้างเสถียรภาพความมั่นคงด้านพลังงานในช่วงราคาน้ำมันผันผวน
และที่สำคัญที่สุดคือการช่วยเกษตรกรในการสนับสนุนสินค้าทางเกษตรในประเทศด้วย" นางสาวสุรียส
กล่าว