นายฐาปนา บุณยประวิตร
นายกสมาคมการผังเมืองไทย กรรมการและเลขานุการกฎบัตรไทย ร่วมกับนายบุญญนิตย์
วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และเครือข่าย 10
มหาวิทยาลัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยบูรพา
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มหาวิทยาลัยพายัพ
และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ลงนามข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจการแพทย์
การส่งเสริมสุขภาพ พลังงานสะอาด และการส่งเสริมการลงทุนในเขตนวัตกรรมและพื้นที่ของ
กฟผ. เพื่อพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ณ
ห้องออดิทอเรียม อาคาร 50 ปี กฟผ. อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
นายฐาปนา บุณยประวิตร
นายกสมาคมการผังเมืองไทย กรรมการและเลขานุการกฎบัตรไทย เปิดเผยว่า ไทยเป็น 1 ใน 6
ประเทศของเอเชียที่มีขีดความสามารถสูงด้านการแพทย์และบริการสุขภาพ โดย Global
Wellness Institute (GWI) คาดการณ์แนวโน้มการขยายตัวของกลุ่มเศรษฐกิจเวลเนสจนถึงปี
2568 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 7 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น
การผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness
Hub) จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ความร่วมมือระหว่างเครือข่ายกฎบัตรไทยกับ กฟผ.
ในครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับเขื่อนของ กฟผ. และพื้นที่ชุมชนโดยรอบที่มีศักยภาพสู่ธุรกิจเวลเนส
ยกระดับเป็นเขตนวัตกรรมการแพทย์และการส่งเสริมสุขภาพ
เขตนวัตกรรมการท่องเที่ยวมูลค่าสูง และเขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมมูลค่าสูง
ผ่านการพัฒนารูปแบบธุรกิจ นวัตกรรมและเทคโนโลยี พัฒนาเครือข่ายการตลาด
ส่งเสริมการจ้างงานและเศรษฐกิจชุมชน รวมถึงประสานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเข้ามาช่วยสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการภายใต้กรอบระยะเวลา
5 ปี เพื่อร่วมกันยกระดับเศรษฐกิจฐานราก
ตอบสนองเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติในการเปลี่ยนไทยให้เป็นประเทศรายได้สูงในปี 2580
นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ
กฟผ. กล่าวเสริมว่า กฟผ. ได้พัฒนาสินทรัพย์ บริการ
และแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่เขื่อนต่าง ๆ ซึ่งเป็นต้นทุนทางสังคม หรือ Soft
Power ที่สามารถต่อยอด
สร้างผลกระทบเชิงบวกทางด้านเศรษฐกิจมูลค่าสูงต่อชุมชนโดยรอบมา
และช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นการเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายกฎบัตรไทยในครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาพื้นที่เขื่อนและชุมชนโดยรอบของ
กฟผ. สู่ธุรกิจด้านสุขภาพแบบองค์รวมอย่างยั่งยืน เป็นพื้นที่เศรษฐกิจสุขภาพ
เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและพัฒนาพลังงานสะอาด
สนับสนุนนวัตกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ชุมชน โดย กฟผ.
จะจัดทำแผนแม่บทบูรณาการเชื่อมโยงร่วมกับกฎบัตรไทยและเครือข่ายมหาวิทยาลัยในแต่ละภาคของประเทศ
เพื่อกำหนดเป็นแผนยุทธศาสตร์ประจำภาคสำหรับพัฒนาชุมชนในแต่ละจังหวัด
โดยมีเขื่อนของ กฟผ. เป็นศูนย์กลางดำเนินงานและเชื่อมโยงสู่ชุมชนซึ่งจะนำร่องในพื้นที่เป้าหมาย
9 แห่งทั่วประเทศ ดังนี้
- ภาคเหนือ 2
แห่ง ได้แก่ เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ และเขื่อนภูมิพล จ.ตาก
- ภาคใต้ 2
แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้ากระบี่ จ.กระบี่ และเขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3
แห่ง ได้แก่ เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จ.นครราชสีมา
และเขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ
- ภาคตะวันตก 2 แห่ง ได้แก่
เขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี
"กฟผ. เชื่อมั่นว่า
ความร่วมมือเพื่อยกระดับธุรกิจภายในพื้นที่ของ กฟผ. และชุมชนโดยรอบสู่ธุรกิจเวลเนสในครั้งนี้
เป็นกลไกที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ช่วยสร้างความเข้มแข็ง เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ที่สำคัญคือ
ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน" ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าว