ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล
กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS
เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของ BAFS Group เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขับเคลื่อนของกลุ่มธุรกิจบริการพลังงาน
โดยผลประกอบการไตรมาส 3/2566 ของบริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 733.8 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2565
ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจรวมของประเทศ
โดยเป็นรายได้จากธุรกิจหลักในกลุ่มธุรกิจ Aviation รวม
587.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36%
โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้นถึง 31%
เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจ Utilities ที่มีรายได้รวม 87.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
13% จากปริมาณขนส่งน้ำมันรวมทุกผลิตภัณฑ์ของโครงการระบบท่อส่งน้ำมันภาคเหนือ (NFPT)
ที่เพิ่มขึ้น 66% ในขณะที่กลุ่มธุรกิจ Power มีรายได้จากการขายไฟฟ้าและอื่นๆ
จำนวน 74.3 ล้านบาท ซึ่งปรับลดลง 3% จากสัญญาเงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า
(Adder) ของบริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้สิ้นสุดลงเมื่อเดือนมิถุนายน
อย่างไรก็ตาม BAFS Group มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี
ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 3/2566 จำนวน 349.1 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
โดยมีภาพรวมของค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้น 14%
จากการดำเนินงานและค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากการดำเนินกิจการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน
(Airport Concession Fee: ACF) อีกทั้งมีต้นทุนทางการเงินสุทธิที่เพิ่มขึ้น
15%
จากการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของตลาดเงินโดยรวม
ส่งผลให้ในไตรมาส 3/2566 BAFS GROUP ขาดทุนสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจำนวน
2.9 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 93% ที่มีผลขาดทุน 43.5
ล้านบาท BAFS Group ยังคงรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจบริการพลังงานที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว
ในขณะเดียวกันตามกลยุทธ์เติบโต กลุ่มบริษัทตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้ในปี 2569
มาจากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับอากาศยาน (Aviation) 50%
จากกลุ่มธุรกิจที่สาธารณูปโภคและพลังงาน (Utility and Power) 40%
และอีก 10% จากกลุ่มบริการธุรกิจ (Business Solutions and Services) เพื่อลดการพึ่งพิงรายได้หลักจากธุรกิจบริการน้ำมันอากาศยาน
ตลอดจนมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อย์ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero
target) ภายในปี 2593
สำหรับภาพรวมผลประกอบการ 9 เดือนแรก BAFS GROUP มีรายได้รวม
2,271.1 ล้านบาท กำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจำนวน 59.7 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 125% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Aviation
1,767.5 ล้านบาท
ที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของปริมาณน้ำมันอากาศยานและจำนวนเที่ยวบินที่กลุ่มบริษัทให้บริการ
โดยในช่วง 9 เดือนของปีนี้ ปริมาณน้ำมันอากาศยานฟื้นตัวได้ 69%
ของช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 สำหรับกลุ่มธุรกิจ Utilities มีรายได้รวมจำนวน
270.1 ล้านบาท
จากค่าบริการขนส่งน้ำมันภาคพื้นดินและค่าบริการจัดเก็บน้ำมันของปริมาณน้ำมันรวมทุกผลิตภัณฑ์ของโครงการ
NFPT ที่เติบโตขึ้น 91%
เนื่องจากการทำการตลาดเชิงรุกกับลูกค้าบริษัทน้ำมัน และกลุ่มธุรกิจ Power มีรายได้รวม
306.3 ล้านบาท จากการขายไฟฟ้าและอื่นๆ
และจากเงินปันผลจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น
นอกจากนี้ BAFS Group ได้ขยายการลงทุนเพื่อสร้างสมดุลทางโครงสร้างธุรกิจและสร้างการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่พลังงานทดแทน
โดยกลุ่มบริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ BAFS X Mongolia
LLC ในประเทศมองโกเลีย ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 3.6 ล้านบาท
เพื่อประกอบธุรกิจโดยมีรายได้จากการถือหุ้นในบริษัทอื่นเป็นหลัก
ทั้งธุรกิจพลังงานทดแทน
ธุรกิจการจัดเก็บน้ำมันและท่อขนส่งน้ำมันและธุรกิจนำเข้าและส่งออกสินค้าและบริการ
โดยในระยะแรกกลุ่มบริษัทมีแผนร่วมลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
ซึ่งคาดว่าจะให้ข้อมูลความชัดเจนของการลงทุนในโครงการดังกล่าวได้ปี 2567
และได้เข้าร่วมลงทุนในบริษัท สุราษฎร์ อีโค พาวเวอร์ จำกัด โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น
30% เพื่อลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่มีกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์
โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ในปี 2570
BAFS Group มุ่งพัฒนาธุรกิจบริการพลังงาน
เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
และตระหนักถึงความสำคัญเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
เร่งผลักดันโครงการขนส่งน้ำมันทางระบบท่อภาคเหนือ (NFPT) โดยปัจจุบันกลุ่มบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเตรียมโครงการสร้างท่อขนส่งน้ำมันเชื่อมระหว่างเส้นทางสระบุรี-อ่างทอง
(link line) เพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายท่อขนส่งน้ำมันระหว่างภาคตะวันออกกับภาคเหนือ
ซึ่งจะช่วยทำให้โครงข่ายระบบท่อส่งน้ำมันของประเทศไทยมีความมั่นคงด้านพลังงานมากขึ้น
และยังลดการปล่อยมลพิษและก๊าซเรือนกระจกอันเกิดจากรถขนส่งน้ำมัน
ร่วมยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของประเทศ
พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน