บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)
หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าคุณภาพระดับสากลที่ยึดมั่นในการส่งมอบพลังงานที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด "Powering Energy
Sustainability with Quality Megawatts (มุ่งสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานด้วยเมกะวัตต์คุณภาพ)"
รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2566 ด้วยกำไรสุทธิ 2,099 ล้านบาท
โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และ ค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวม
7,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 289 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาส 3 นี้ BPP ยังคงความสามารถในการรักษาเสถียรภาพการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าทุกแห่งได้อย่างมั่นคง
มีการบริหารจัดการความเสี่ยงของราคาค่าไฟที่มีความผันผวนอย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมเร่งสร้างพอร์ตโฟลิโอที่สมดุลจากทั้งพลังงานความร้อน (Thermal Power
Business) และพลังงานหมุนเวียน (Renewable Power
Business) ส่งผลให้ BPP มีกระแสเงินสดและกำไรที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
พร้อมมุ่งสู่เป้าหมายกำลังผลิต 5,300 เมกะวัตต์ภายในปี 2568 ภายใต้กลยุทธ์ Greener
& Smarter
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566
ส่วนหลักมาจากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของโรงไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติทั้ง 2 แห่งในสหรัฐฯ ได้แก่ Temple
I ที่บริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุนเมื่อปลายปี 2564 และTemple II เมื่อกลางปี
2566 ซึ่งรับรู้รายได้รวม 15,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 289
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติทั้งสองแห่งมีค่าความพร้อมจ่าย (Equivalent
Availability Factor: EAF) สูงถึงร้อยละ 99
นับเป็นโรงไฟฟ้าในตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรี ERCOT (Electric Reliability
Council of Texas) ที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพในการผลิตเพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
ตอบสนองความต้องการไฟฟ้าสูงที่สุดในรอบปีในช่วงฤดูร้อนของรัฐเท็กซัส
ที่ประสบกับวิกฤตคลื่นความร้อน (heat
wave) ปัจจัยดังกล่าวทำให้ BPP สามารถสร้างกระแสเงินสดและทำกำไรในช่วงที่มีอากาศร้อนจัดและราคาค่าไฟสูงขึ้น
อันเป็นผลที่เกิดขึ้นสอดคล้องกันตามกลไกตลาด
นายกิรณ ลิมปพยอม
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการที่โดดเด่นของโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ
Temple I และ Temple II ในสหรัฐฯ
สะท้อนถึงความสำเร็จในการลงทุนและบริหารจัดการโรงไฟฟ้าคู่แฝดในตลาดที่มีศักยภาพ
ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยบวกทั้งสภาพอากาศฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น
ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น
อีกทั้งมีมาตรการบริหารความเสี่ยงเพื่อรักษากระแสเงินสดโดยใช้เครื่องมือทางการเงินรูปแบบต่าง
ๆ รวมถึงการทำประกันราคาสำหรับโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งนี้ด้วยกำลังผลิต 700 เมกะวัตต์
หรือประมาณร้อยละ 50 ของกำลังผลิตทั้งหมดในช่วงไตรมาส 4/2566 ถึงไตรมาส 4/2567
เพื่อป้องกันความผันผวนของรายได้แม้ไม่ใช่ช่วง
ไฮซีซั่น รวมถึงมีแผนรับมือและแผนซ่อมบำรุงเพื่อเตรียมความพร้อมล่วงหน้า
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโรงไฟฟ้าคู่แฝดนี้จะสามารถจ่ายไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องตลอดช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง
นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP)
ในไทยยังสามารถเดินเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีค่าความพร้อมจ่าย
(Equivalent Availability Factor: EAF) สูงถึงร้อยละ 99.9
ทำให้สามารถผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมทั้ง 3 แห่ง รวมถึงโรงไฟฟ้า SLG ในจีนมีรายได้จากการขายไฟเพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อน
ขณะเดียวกัน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในไตรมาส 3/2566 ของ BPP ยังเติบโตอย่างมั่นคง
โดยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนามรับรู้รายได้รวมเพิ่มขึ้นร้อยละ
33 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในขณะที่โครงการโซลาร์รูฟท็อปภายใต้นโยบายสนับสนุนของรัฐบาลท้องถิ่นในมณฑลเจิ้งติ้ง
ประเทศจีน ปัจจุบันมีกำลังผลิต 66 เมกะวัตต์ BPP ยังคงเดินหน้าเพิ่มเมกะวัตต์อย่างต่อเนื่องด้วยศักยภาพที่คาดว่าสามารถพัฒนาได้ถึง
167 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566
ในส่วนธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานที่ BPP
ถือหุ้นในบ้านปู เน็กซ์ในสัดส่วนร้อยละ 50
ได้ขยายกำลังผลิตของธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาและทุ่นลอยน้ำในไทยและอินโดนีเซีย
รวมถึงมีการลงทุนในธุรกิจกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ครบวงจร รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเข้าซื้อหุ้นร้อยละ 40 ในบริษัท เอส โวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย)
จำกัด (SVOLT Thailand) งบลงทุน 750 ล้านบาท
โดยโรงงานผลิตแบตเตอรี่ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
รองรับการผลิตแบตเตอรี่เริ่มต้น 60,000 ชุดต่อปี ภายในปี 2567
"BPP ในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้าชั้นนำที่สร้างสมดุลของพอร์ตธุรกิจทั้งพลังงานความร้อนและพลังงานหมุนเวียน
ดำเนินธุรกิจใน 8 ประเทศศักยภาพในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
ยังคงดำเนินธุรกิจโดยยึดมั่นในหลักความยั่งยืนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม
และการกำกับดูแลกิจการ (Environmental, Social and Governance: ESG) โดยเมื่อเร็ว
ๆ นี้ BPP ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อ "หุ้นยั่งยืน SET
ESG Ratings" ในระดับ AAA ประจำปี
2566 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกด้วย ทั้งนี้ BPP ยังคงเน้นการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
(High Efficiency, Low Emissions: HELE) และส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อพลังงานสะอาด
สอดคล้องกับแนวทางการลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) ควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างคุณค่าในระยะยาวให้แก่นักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน" นายกิรณ
กล่าว